ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกมีจำนวนบริษัทจดทะเบียนรวมกันกว่า 8,000 บริษัท เต็มไปด้วยธุรกิจที่คนทั้งโลกต้องใช้บริการและยังเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของนักลงทุนทั่วโลก มีสภาพคล่องการซื้อขายสูงที่สุด สำหรับผู้ที่จะลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างไรก็ต้องศึกษาตลาดหุ้นสหรัฐฯอย่างแน่นอน
การที่เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือจะเรียกว่าเป็นเมืองหลวงของตลาดทุนโลกก็ว่าได้เราจึงต้องมาศึกษาถึงโครงสร้างตลาดหุ้นสหรัฐฯในทุกมิติ
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : 6 ข้อสงสัยสำคัญกับการลงทุนต่างประเทศ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง 3 ตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯประกอบไปด้วยสามตลาดหลักคือ
1.ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค New York Stock Exchanges (NYSE)
2.ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา American Stock Exchanges (AMEX)
3.ตลาด NASDAQ
โดยทั้งสามตลาดนี้มีสถานะเป็นบริษัทเอกชนที่ทำหน้าที่คัดเลือกบริษัทหรือกิจการต่างๆที่จะนำหุ้นมาเสนอขายกับนักลงทุนและซื้อขายในตลาดรองโดยแต่ละบริษัทฯสามารถเลือกนำหุ้นเข้ามาจดทะเบียนได้เพียงแค่ตลาดเดียวเท่านั้นโดยทั้งสามตลาดยังนำตัวเองเข้ามาจดทะเบียนและซื้อขายได้ในฐานะหุ้นตัวหนึ่งด้วย
ความแตกต่างระหว่างสามตลาดนี้คือ New York Stock Exchanges จะเป็นตลาดหุ้นที่เปิดดำเนินการมายาวนานโดยส่วนมากบริษัทที่มีอายุกว่าร้อยปีจะจดทะเบียนอยู่ที่ตลาดนี้ ส่วน NASDAQ ส่วนใหญ่จะเน้นบริษัทเกิดใหม่ทางด้านเทคโนโลยี ส่วน AMEX จะเน้นบริษัทขนาดเล็กและกองทุน ETF
3 ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
หลังจากทำความรู้จักตัวตลาดหุ้นไปแล้วต่อไปมาทำความรู้จักกับดัชนีตลาดหุ้น (Stock Index) ซึ่งจะเป็นคนละตัวกับตลาดหุ้น โดยดัชนีจะเป็นตัวแทนของภาพรวมตลาดหุ้นเพื่อนำไปใช้อ้างอิงกับคำแนะนำและบทวิเคราะห์การลงทุนต่างๆ โดยดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯที่เราคุ้นเคยกันจะประกอบไปด้วยสามดัชนีคือ
Dow Jones คือดัชนีที่คัดเลือกบริษัทชั้นนำจากทั้ง NYSE และ NASDAQ จำนวน 30 บริษัทมาคำนวนในดัชนีโดยเน้นที่หุ้นที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและมีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่มีผลกำไรที่เติบโตมั่นคง หุ้นที่บรรจุอยู่ในดัชนีนี้จะมีตั้งแต่ Goldman Sachs,Walmart,Mcdonalds รวมถึง Apple
NASDAQ คือดัชนีที่นำ 100 บริษัทที่มีมาร์เกตแคปสูงสุดในตลาดหุ้น NASDAQ มาคำนวนเป็นดัชนีจะเรียกว่าเป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯก็ว่าได้ หุ้นที่เราคุ้นเคยกันก็จะมีอย่าง Microsoft,Amazon,Alphabet,Meta
S&P 500 คือดัชนีที่นำหุ้นขนาดใหญ่จากทั้งสามตลาดของสหรัฐฯจำนวน 500 บริษัทนำมาคำนวนเป็นดัชนีจึงอาจจะมีทั้งบริษัทขนาดใหญ่ดั้งเดิมและบริษัททางด้านเทคโนโลยีที่ถูกนำมาคำนวนในดัชนี จึงกล่าวได้ว่าเป็นดัชนีที่เป็นตัวแทนของเศรษฐกิจสหรัฐฯได้มากกว่า Dow Jones
นอกจากนี้ยังมีดัชนีย่อยอย่าง Russell 2000 ซึ่งจะเน้นบริษัทขนาดเล็กที่อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหรือไม่ได้ทำธุรกิจทั่วโลก จึงเป็นดัชนีที่สะท้อนภาพของธุรกิจขนาดกลางของสหรัฐฯ
ทำความรู้จักตลาด OTC ของสหรัฐฯ
นอกจากตลาดหลักแล้วเรายังสามารถซื้อขายหุ้นในตลาดรองหรือ OTC (Over The Counter) ได้เช่นกัน ซึ่งหุ้นพวกนี้จะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่อาจจะมีคุณสมบัติไม่พอสำหรับการเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทั้งสามตลาดก็จะเข้ามาซื้อขายในตลาดรองเพื่อรอโอกาสเลื่อนชั้นต่อไป
โดยตลาด OTC ของสหรัฐฯก็จะมีการแบ่งออกเป็นสามตลาดคือ QB, QX และ PINK ซึ่งนักลงทุนสามารถที่จะซื้อขายหุ้นได้อยางสะดวกโดยหากไม่ได้เป็นเม็ดเงินจำนวนมากก็แทบไม่มีปัญหาเรื่องของสภาพคล่องแต่อย่างไร และหลายครั้งเราจะได้หุ้นที่สามารถเติบโตได้หลายเท่าในตลาด OTC
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าคุณภาพของกิจการในตลาด OTC ย่อมเป็นรองกิจการที่ซื้อขายในตลาดหลักอย่างแน่นอนซึ่งทำให้มีความเสี่ยงในการลงทุนตามมาด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างของหุ้นชื่อดังที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด OTC อย่างเช่น Lucky Coffee ของจีนที่ถูกลดชั้นจากตลาดหุ้นหลักลงมาเทรดในตลาด OTC จากปัญหาเรื่องการรายงานงบการเงิน โดยนอกจากกิจการที่อยู่ในสหรัฐฯแล้วยังมีหุนจากประเทศต่างๆเข้าไปซื้อขายในตลาดนี้อีกด้วย
เวลาเปิดปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เวลาเปิดทำการของตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเริ่มตั้งแต่ 9.30-16.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นโดยไม่มีการพักครึ่ง ถ้าเทียบกับเวลาในประเทศไทยก็คือ 20.30-03.00 น. แต่เวลาเปิดปิดจะมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลด้วยโดยเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Daylight Saving Time ซึ่งจะมีการเลื่อนเวลาเปิดทำการจากเวลาปกติออกไปอีก 1 ชั่วโมง โดยจะเริ่มในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ไปจนถึงสัปดาห์ที่สองของเดือนมีนาคม ซึ่งช่วงนี้ตลาดหุ้นอเมริกาจะเปิดช้ากว่าปรกติ 1 ชั่วโมง ถ้าเทียบเวลากับประเทศไทยคือตลาดหุ้นอเมริกาจะเปิดเวลาสามทุ่มครึ่ง แล้วไปปิดตลาดตี 4 ในช่วงฤดูหนาว
หากพิจารณาจากเวลาเปิดทำการตลาดหุ้นสหรัฐฯมีความเหมาะสมที่สุดสำหรับนักลงทุนไทยที่จะซื้อขายต่อจากตลาดหุ้นไทยที่ปิดทำการช่วง 17.00 น.หรืออาจจะเป็นการเทรดหลังเลิกงานประจำก็ทำได้เช่นกัน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงเป็นทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับผู้ที่คิดจะเริ่มต้นศึกษาการลงทุนต่างประเทศจากการที่มีหุ้นซึ่งคนทั้งโลกต่างรู้จักเป็นอย่างดีและช่วงเวลาการเปิดตลาดที่มีความเหมาะสมเรียกได้ว่าลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯเพียงที่เดียวก็เพียงพอแล้ว
สนใจเรียนหลักสูตรออนไลน์ด้านการลงทุนคลิ๊กที่นี้