ตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมาได้เกิดปรากฎการณ์ที่บริษัทจดทะเบียนไทยได้หันมาลงทุนรวมถึง Diversify ธุรกิจของตัวเองเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลตามบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯที่เข้าไปเริ่มลงทุนก่อนหน้านี้และราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามการกระโดดเข้ามาสู่ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งทางตรงและทางอ้อมของบริษัทจดทะเบียนไทยจะเป็นโอกาสการเติบโตครั้งใหม่หรือเป็นเพียงการเรียกกระแสในช่วงสั้นๆเท่านั้น?? เรามาวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลโดยแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม
บทความที่เกี่ยวข้อง : บล็อกเชนโครงสร้างพื้นฐานของ DeFi Protocol
กลุ่มที่ลงทุนโดยตรงในสกุลเงินดิจิทัล
หุ้นไทย ในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย JTS หรือจัสมินเทเลคอม ซึ่งได้ประกาศแผนการลงทุนในธุรกิจเหมืองบิทคอยน์ โดยลงทุนซื้อเครื่องขุดบิทคอยน์กับทาง Bitmain จำนวน 1,200 เครื่อง ตั้งเป้าที่จะมีเครื่องขุดบิทคอยน์กว่า 5,000 เครื่องในปีหน้า และถึง 50,000 เครื่องในอนาคต ซึ่งจะกลายเป็นผู้ขุดเหมืองบิทคอยน์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงเตรียมลงทุนในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆอย่างเช่น Exchange อย่างเต็มตัว
ขณะที่บรุ๊คเคอร์กรุ๊ปหรือ BROOK ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนไทยแห่งแรกที่ลงทุนโดยตรงในบิทคอยน์มูลค่าไม่เกิน 1,200 ล้านบาทและล่าสุดได้ประกาศเข้าลงทุนใน ICO Project ชื่อ BitDAO มูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์
หุ้นในกลุ่มนี้มีความผันผวนสูงตามราคาบิทคอยน์ไม่ว่าจะเป็นการขุดหรือลงทุนตรง มีโอกาสสูงที่ผลประกอบการและราคาหุ้นจะผันแปรตามราคาบิทคอยน์ในตลาดและต้องไม่ลืมว่าหุ้นกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงจากการบันทึกผลขาดทุนจากการถือบิทคอยน์รวมถึงต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในช่วงแรก แต่ถ้าราคาบิทคอยน์ขึ้นทำสถิติใหม่ หุ้นกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์ทางตรง
กลุ่มที่ทำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง
หุ้นในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย XSpring Capital หรือ XPG ซึ่งประกอบธุรกิจ ICO Portal หรือที่ปรึกษาการระดมทุนสินทรัพย์ดิจิทัลและอาจจะมีการลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมโดยมีแสนสิริ (SIRI) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จึงมีโอกาสที่ SIRI จะได้รับประโยชน์ไปด้วย
ทางด้าน JMART ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกที่ระดมทุนด้วยการทำ ICO และมี JFIN Coin ซึ่งเป็น Utility Token ที่จะนำมาใช้ในเครือธุรกิจของ JMART ทั้งหมด ล่าสุดยังได้รับลงทุนโดยกลุ่ม BTS
อย่างไรก็ตามทั้งสองบริษัทฯไม่ได้มีรายได้ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด โดยยังคงมีธุรกิจเดิมที่เป็นรายได้หลักเช่นโบรกเกอร์หลักทรัพย์ จำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
หุ้นไทย ในกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั้งทางบวกและทางอ้อมจากราคาบิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัล แต่หากอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตขึ้นก็จะส่งผลบวกต่อผลประกอบการอย่างมีนัยยะสำคัญ ประเด็นที่ต้องจับตาคือธุรกิจที่หุ้นสองตัวนี้ได้ลงทุนไปจะเติบโตได้มากน้อยเพียงใด
ขณะที่สถาบันการเงินที่ประกาศจัดตั้งบริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ว่าจะเป็น KBANK หรือ SCB อาจจะไม่มีผลใดๆต่อผลประกอบการมากนักเพราะรายได้ที่เกิดขึ้นจากธุรกิจนี้น่าจะมีสัดส่วนไม่ถึง 1% ของรายได้รวมทั้งหมด
กลุ่มที่นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ
กลุ่มต่อมาคือบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจเช่น MVP ที่ออกโทเคนของตัวเองมาเป็น Utility Token รองรับธุรกิจด้านท่องเที่ยว รวมถึงบริษัททางด้านอสังหาริมทรัพย์อย่าง SIRI ANAN ORI ASW และ MAJOR ที่เปิดรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล
ต้องยอมรับว่าหุ้นในกลุ่มนี้แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการที่นำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจเลยเพราะการรับชำระเงินด้วยคริปโตเป็นเพียงแค่การเพิ่มช่องทางใหม่ให้กับลูกค้าเท่านั้น การเติบโตของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลจึงแทบไม่มีผลใดๆต่อหุ้นกลุ่มนี้
กลุ่มที่แสดงความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัล
กลุ่มสุดท้ายคือบริษัทจดทะเบียนที่แสดงความสนใจที่จะนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้กับธุรกิจหลักที่มีอยู่ อย่างเช่น GRAMMY ที่สนใจใน NFT ,WHA ที่สนใจเสนอขาย Investment Token ฯลฯ กลุ่มนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลในแง่มุมไหน หากอนาคตมีบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ให้ข่าวเชิงให้ความสนใจน่าจะเป็นเพียงแค่ประเด็นการเก็งกำไรเท่านั้น
ขณะที่บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.เอเซียพลัส ระบุว่าอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลจะเป็นหนึ่งในแนวโน้มธุรกิจที่กำลังเติบโตในระยะกลางถึงยาวเช่นเดียวกับธุรกิจกัญชง
อย่างไรก็ตามหุ้นบางตัวอย่าง JTS,XPG ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูงและ P/E ค่อนข้างแพงจึงต้องลงทุนด้วยความระมัดระวัง
** คอร์สออนไลน์ “มือใหม่เริ่มลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล” นอกจากเรียนทฤษฎีทางออนไลน์แล้วยังได้เรียนสดทาง Zoom กับผู้สอนทุกสัปดาห์อีกด้วย รายละเอียดคลิ๊กที่นี้
