หุ้นที่ร้อนแรงที่สุดในนาทีคงหนีไม่พ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ผู้ผลิตชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์ที่ราคาหุ้นปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 1,000% ในปีนี้ ทำให้กลายเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปอันดับสามของตลาดหุ้นไทยเป็นรองเพียง PTT และ AOT เท่านั้น
เหตุผลที่ดันราคาหุ้น DELTA คงเป็นเรื่องของกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยสามไตรมาสของปีนี้มีกำไรสุทธิ 45,525.28 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับ 88% ของกำไรสุทธิของทั้งปีที่แล้ว ทำให้ค่อนข้างจะชัดเจนว่ากำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน
เมื่อลองไปเจาะลึกดูถึงสาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นร้อนแรงน่าจะมีสาเหตุจากการที่เดลต้าเริ่มปรับเปลี่ยนจากการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์ตามบริษัทแม่ที่ไต้หวันมาเป็นผู้ให้บริการ Data Center และ Cloud ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจเมกะเทรนด์ เนื่องจากภาคธุรกิจหันมาปรับเปลี่ยนย้ายฐานข้อมูลต่างๆมาไว้ที่ Cloud มากขึ้นเพื่อลดต้นทุน
ที่สำคัญ DELTA ยังรับผลิตในส่วนของอุปกรณ์ Power Management ที่ใช้ใน Server ของ Data Center ของบริษัท APPLE อีกด้วย
นอกจากนี้เดลต้ายังหันไปผลิตชิ้นส่วนบางส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกด้วยโดยข้อมูลระบุว่ามีการป้อนชิ้นส่วนให้กับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าสหรัฐฯและยุโรปซึ่งแน่นอนว่า EV เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัยเห็นได้จากราคาหุ้น TESLA ที่ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในปีนี้
ขณะที่ธุรกิจดั้งเดิมอย่างชิ้นส่วนอีเล็กทรอนิกส์ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตที่ดี เห็นได้จากการที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวในระดับโลกไม่ว่าจะเป็น AMD และ NVDIA ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ในปีนี้
เรียกได้ว่าทุกกลุ่มธุรกิจของเดลต้าล้วนแล้วแต่เป็นโปรดักต์ที่อยู่ในเมกะเทรนด์ทั้งสิ้นจึงน่าจะเป็นสาเหตุที่ผลักดันราคาหุ้นมาได้ไกลขนาดนี้
ถ้าเราไปดูหุ้นในต่างประเทศที่อยู่ในธุรกิจ Cloud ที่ทำผลตอบแทนได้ดีในปีนี้จะมี Cloudflare หรือชื่อย่อว่า NET ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น NASDAQ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเติบโตขึ้นแล้ว 400%
บทความที่เกี่ยวข้อง : ความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย ในสายตานักลงทุนต่างประเทศ (FOREIGN holding 2020)
ส่วนหุ้นกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า นอกจาก TESLA ยังมีหุ้น NIO ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า EV สัญชาติจีนแต่จดทะเบียนในตลาดหุ้น NASDAQ เช่นกัน โดยปีนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้กว่า 1,450%
การที่ราคาหุ้นในกลุ่มเมกะเทรนด์ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในปีนี้บ่งบอกว่านักลงทุนกำลังมีอาการ FOMO หรือคลั่งไคล้ที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้อย่างมาก แม้ว่าค่า P/E จะปรับตัวขึ้นสูงเป็นหลักร้อยเท่าซึ่งหากวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีเก่าอาจจะมองได้ว่าราคา “แพง” แต่ต้องไม่ลืมว่า
แม้ราคาหุ้นในกลุ่มเมกะเทรนด์จะสูงลิ่วชนิดที่ไม่กล้าจะเข้าซื้อ แต่ต้องไม่ลืมว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวกำลังพาตัวเองอยู่ในโลกอนาคตมากกว่าปัจจุบัน จึงยากที่จะนำมูลค่าในอดีตหรือปัจจุบันมาคำนวนเป็นมูลค่า
แต่ต้องยอมรับว่าหุ้นที่เกาะเมกะเทรนด์หากหมด Growth Story ก็อาจสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่คาดหวังการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีการเทขายออกมาได้และจะร่วงอย่างรวดเร็วด้วย ใครที่คิดจะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้อาจจะต้องทำใจยอมรับความผันผวนไว้ด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง : ก้าวสู่ยุค Megatrends Allocation