Key Findings:
- นักลงทุนต่างประเทศ สนใจตลาดหุ้นไทยมีนักลงทุนสัญชาติใหม่ๆเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องโดยจากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีนักลงทุนต่างประเทศ 116 สัญชาติเพิ่มขึ้นสุทธิ 2 สัญชาติในตลาดหุ้นไทย
- ณสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศ มีมูลค่าการถือครองหุ้นไทยรวม 3.76 ล้านล้านบาทลดลง 22.2% จากเดือนพฤษภาคม 2562 ที่สำคัญจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง
- มูลค่าการถือครองหุ้นไทยของ นักลงทุนต่างประเทศ ลดลงในระดับใกล้เคียงกับ SET100 Index ที่ลดลงถึง 20.6% ทั้งนี้เนื่องจากมูลค่าการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ (82%) เป็นหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET100
- นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 291,480 ล้านบาท ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 – สิงหาคม 2563 โดยขายทำกำไรระยะสั้นใน local share 364, 324 ล้านบาทและขายสุทธิ foreign share ที่ถือไว้เพื่อลงทุนระยะยาวเพียง 9,474 ล้านบาท ในทางกลับกันนักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นสะสมผ่าน NVDR กว่า 82,228 ล้านบาทสะท้อนนักลงทุนต่างประเทศทำกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยขณะที่เชื่อมั่นบริษัทจดทะเบียนไทยยังคงถือหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว
- เมื่อพิจารณาการซื้อขายรายหลักทรัพย์พบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิใน 2,215 หลักทรัพย์จาก 7,179 หลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อขาย
- นอกจากการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยพบนักลงทุนต่างประเทศใช้สิทธิสะสมหุ้นเพิ่มเติมผ่านกิจกรรมระดมทุนทั้งการจองซื้อหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่การใช้สิทธิจองหุ้นซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจดทะเบียนเดิมและการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิเป็นหุ้นสามัญเป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะเหตุการณ์แพร่ระบาดของระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019” (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลง
จากสถานการณ์ของทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก พบว่า องค์กรการเงินระหว่างประเทศ หรือ International Monetary Fund (IMF) ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปี 2563 ลดอย่างต่อเนื่องโดยคาดว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกหลากหลายแต่ “การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019” (COVID-19) ที่เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2562 กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตความอยู่รอดของธุรกิจเศรษฐกิจในทุกระดับ และขยายความรุนแรงจนในที่สุดองค์กรอนามัยโลกหรือ World Health Organization (WHO) ได้ประกาศยกระดับการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก (Pandemic) นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นมีการปรับพอร์ตการลงทุนมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังสินค้าโภคภัณฑ์ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับลดลง
จากการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ในตลาดหุ้นไทยจาก 1) ข้อมูลการปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้น 2) ข้อมูล Corporate Actions 3) ข้อมูลการระดมทุนผ่านตลาดรองของบริษัทจดทะเบียน 695 บริษัท จากทั้งหมด 712 บริษัท โดยใช้ข้อมูลล่าสุดถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 98.20% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด พบประเด็นสำคัญ ดังนี้
นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น (พิจารณาจากจำนวนสัญชาตินักลงทุน)
โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีนักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทยรวม 116 สัญชาติเพิ่มขึ้นสุทธิ 2 สัญชาติจากปีก่อน
จากการศึกษาพบว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มีนักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทยรวม 116 สัญชาติเพิ่มขึ้นสุทธิ 2 สัญชาติ(ภาพที่ 1) จากข้อมูลการถือครองหุ้นปีก่อน (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2562) โดยมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ มีนักลงทุนสัญชาติใหม่เข้ามาในตลาด 7 สัญชาติและออกจากตลาด 5 สัญชาติ
![SET 3](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/SET-3.png)
ในกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนใหม่ 7 สัญชาติ (ภาพที่ 2) พบว่า นักลงทุนจากเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส นักลงทุนจากสาธารณรัฐลัตเวีย นักลงทุนจากสาธารณรัฐไนเจอร์ นักลงทุนจากนักลงทุนจากราชอาณาจักรเอสวาตีนี และนักลงทุนจากราชอาณาจักรตองกา เคยลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่หายไปในปี 2557 ได้กลับเข้ามาใหม่ในปี 2563 ขณะที่นักลงทุนจากสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน และนักลงทุนบุคคล จากสาธารณรัฐแซมเบีย เข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นครั้งแรก โดยลงทุนในหุ้นที่มีอยู่แล้วในตลาด ไม่ได้เป็นหุ้นจดทะเบียนใหม่ ซึ่ง 97% ของมูลค่าการถือครองหุ้นเป็นการถือ NVDR และอีก 3%เป็น foreign shares
![SET 2](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/SET-2.png)
มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยลดลงสาเหตุหลักจากราคาหลักทรัพย์ที่ลดลง
โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 3.76 ล้านล้านบาทลดลง 22.2% จากสิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 ที่สำคัญจากราคาหลักทรัพย์ (SET Index) ที่ลดลง 19.1% และการขายสุทธิกว่า 291,480 ล้านบาท
จากการประมาณการมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทยรวม 3.76 ล้านล้านบาท ลดลง 22.2% จากเดือนพฤษภาคม 2562 (ภาพที่ 4) (ที่สำคัญจากการลดลงของราคาหลักทรัพย์และการขายสุทธิ) สัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศณสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 อยู่ที่ 26.91% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ลดลงจาก 29.45% ในปีก่อน (สิ้นเดือนพฤษภาคม 2562)
![SET 4](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/SET-4.png)
SET Index ปรับลดลงกว่า 19%
ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ราคาหลักทรัพย์ปรับลดลงมากเมื่อพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาหลักทรัพย์
(ตารางที่ 1) โดยSET Index ปรับลดลง 19.11% จากสิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 ก่อนปรับลดลงอีก 5.62% ในเดือนกันยายน 2563 ขณะที่ SET 50 Index ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2563 ลดลง 21.46% จากเดือนพฤษภาคม 2562 และลดลงต่อเนื่องอีก 7.48% ในเดือนกันยายน 2563 และ SET100 ลดลง 20.55% จากสิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 ก่อนปรับลดลงอีก 7.19% ในเดือนกันยายน 2563
![SET 1.1](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/SET-1.1.png)
การถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นหุ้นในกลุ่ม SET100 ทาให้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคามากกว่าการเปลี่ยนแปลงของ SET Index
การเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัจจัยสาคัญที่ทาให้มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยลดลง เนื่องจาก 82% ของมูลค่าหลักทรัพย์ในการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET100 (ภาพที่ 5) โดย 75% อยู่ในกลุ่ม SET50 และ 7% อยู่ในกลุ่ม SET51-100 ทาให้มูลค่าหลักทรัพย์ในการถือครองของนักลงทุนต่างประเทศลดลงในระดับใกล้เคียงกับการลดลงของ SET50 และ SET100 ที่ลดลงกว่า 20%
![](https://www.moneyclub.asia/wp-content/uploads/2020/12/image-6.png)
ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 – สิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 291,480 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทากาไรระยะสั้นในตลาดหุ้นไทย
ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 สิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า 291,480 ล้านบาท (ภาพที่ 6) หรือประมาณ 6% ของมูลค่าการถือครองหุ้น ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 โดยสรุปเหตุการณ์ที่มีนัยสาคัญผลต่อการซื้อขายสุทธิของ นักลงทุนต่างประเทศ ดังนี้
![](https://www.moneyclub.asia/wp-content/uploads/2020/12/image-7.png)
–ในช่วงเดือนมิถุนายน กรกฎาคม 2562 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิกว่า 67,470 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก MSCI ปรับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับข้อจากัดของการลงทุน (Investment Limits) โดยสามารถนาหลักทรัพย์ NVDR เข้ามาคานวณสาหรับ MSCI Emerging Market (MSCI EM) หรือ ดัชนี MSCI ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้หุ้นไทยโดยรวมมีสัดส่วนที่เพิ่มมาก
ขึ้นใน MSCI Emerging Market นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มอีก 4 หลักทรัพย์จดทะเบียนไทยเป็นองค์ประกอบใน MSCI Thailand
–ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 – สิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อ เนื่อง 13 เดือน รวมมูลค่าขายสุทธิกว่า 358,950 ล้านบาท โดยมีปัจจัยลบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) วิกฤติการณ์ราคาน้ามัน และสงครามการค้าระหว่างประเทศ
–เดือนมีนาคม 2563 นักลงต่างประเทศขายสุทธิมากที่สุด 78,363 ล้านบาท สาเหตุสาคัญจากความวิตกกังวลของนักลงทุน จากการประกาศพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2563 การประกาศยกระดับการแพร่ระบาดของ COVID-19 จากโรคระบาด (Epidemic) เป็น โรคระบาดใหญ่ทั่วโลก
(Pandemic) ขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ในวันที่ 11 มีนาคม 2563 และเหตุการณ์วิกฤติราคาน้ามันระหว่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และกลุ่มองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ามันออก (OPEC) ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงอย่างหนัก ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็เป็นอีกตลาดหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ ส่งผลให้SET Index ปรับลดลง โดยในเดือนมีนาคม 2563 ตลาดหุ้นไทยใช้มาตรการหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker) ถึง 3 ครั้ง เท่ากับจานวนครั้ง
ในการใช้มาตรการ Circuit Breaker ในช่วง 44 ปีที่ผ่านมาของตลาดหุ้นไทย ตามรายละเอียด ดังนี้
o ครั้งที่ 1 ปี 2563 (ครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย) เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2563
o ครั้งที่ 2 ปี 2563 (ครั้งที่ 5 ในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563
o ครั้งที่ 3 ปี 2563 (ครั้งที่ 6 ในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น
ไทย) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ตามการปรับ Circuit Breaker ชั่วคราวจาก 2 ระดับไปที่ 3 ระดับ5
– ในช่วงเดือนสิงหาคม 2562 – สิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิต่อเนื่อง 13 เดือน รวมกว่า 358,950 ล้านบาท สาเหตุสาคัญจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ที่
รุนแรงขึ้น วิกฤติการณ์ราคาน้ามันที่ราคาน้ามันลดลงอย่างหนักและสงครามการค้าระหว่างประเทศ
– นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิต่อเนื่องจนถึงเดือนตุลาคม 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังคงอยู่ แต่มีข้อสังเกตว่า มูลค่าการขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าลดลงทุกเดือนตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2563 ที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิลดลงเหลือ 9,938 ล้านบาท ก่อนกลับมาขายสุทธิในเดือนสิงหาคม 2563
ตุลาคม 2563 จากสถานการณ์ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกสอง ที่มีแนวโน้มจานวนยอดผู้ติดเชิ้อ COVID-19 สูงขึ้นในโดยเฉพาะประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกาเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว สภาพอากาศหนาวเย็นโดย ณ 31 ตุลาคม 2563 ยอดผู้ป่วยติดเชื้อกว่า 45 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนสหรัฐ และเหตุการณ์ชุนนุมในประเทศที่มีความยืดเยื้อ
นักลงทุนต่างประเทศยังคงสนใจลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยและสร้างกำไรจากผลต่างของราคาหลักทรัพย์สังเกตได้จากพฤติกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์และการถือครองหลักทรัพย์
เพื่อให้เข้าใจที่ถูกต้อง ตรงกันเกี่ยวกับพฤติกรรมนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย ในการศึกษานี้จึงแยกองค์ประกอบกิจกรรมต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ 1) การถือครองหุ้นในช่วงที่ทำการศึกษา 2) การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ที่เป็นเสมือนกระแสสินทรัพย์ที่กระทบต่อมูลค่าการถือครองหุ้น 3) การใช้สิทธิผ่านกิจกรรมการระดมทุน ซึ่งพบว่า
นักลงทุนต่างประเทศสนใจลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นมากกว่า 3 ใน 4 ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศเป็นการถือครองหุ้น foreign share ที่มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมฯ
จากการศึกษาการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ พบว่า 78.68% ของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศถือเป็น foreign shares ที่นักลงทุนต่างประเทศจะได้ทั้งสิทธิทางการเงิน (financial benefits) และสิทธิในการออกเสียงในประชุม ผู้ถือหุ้น (voting right) และที่เหลือเกือบทั้งหมดประมาณ 21.32% ถือครอง NVDR ที่นักลงทุนต่างประเทศจะได้รับสิทธิทางการเงินแต่ไม่มีสิทธิออกเสียงฯ และถือครอง local shares เพียงเล็กน้อยไม่ถึง 0.01% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมทั้งหมด (ภาพที่ 7) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า นักลงทุนต่างประเทศสนใจลงทุนระยะยาวในประเทศไทยเพราะให้ความสำคัญกับสิทธิทางการเงินและสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมฯ
![SET 7](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/Screen-Shot-2563-12-23-at-09.28.01.png)
นักลงทุนต่างประเทศไม่นำหุ้นกลุ่ม foreign share มาซื้อขายเพราะมีจำนวนจำกัดตามเพดานการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ แต่ทำกำไรระยะสั้นผ่าน local share และ NVDR
จากข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 – สิงหาคม 2563 ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อขายรวมกว่า 14.43 ล้านบาท หรือ 37.94% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งตลาด และหากพิจารณาการซื้อขายโดยแบ่งกลุ่มหลักทรัพย์ตามสิทธิการออกเสียงฯ คือ foreign share NVDR และ local share พบว่า นักลงทุนต่างประเทศซื้อขายมากที่สุดในกลุ่ม local shares ที่ระดับ 49.75% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของนักลงทุนต่างประเทศตามมาด้วยกลุ่ม NVDR 47.74% และกลุ่ม foreign shares เพียง 2.48% เท่านั้น (ภาพที่ 8) แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างประเทศทำกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นไทยโดยซื้อขายหุ้นกลุ่ม local shares และ NVDR ที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายเดียวกับนักลงทุนในประเทศ
ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างประเทศไม่นิยมนำหุ้นกลุ่ม foreign share ออกมาซื้อขาย ด้วยสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ประการแรก คือ หุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่มีการถือครองหุ้นครบตามปริมาณหุ้นสูงสุดที่อนุญาตให้นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นได้ (เพดานการถือครองหุ้นฯ) แล้วและหากขาย foreign share ในพอร์ตของตนออกไป อาจไม่สามารถซื้อกลับมาได้ ประการที่สอง คือ สภาพคล่องในการซื้อขายต่ำ เนื่องจากนักลงทุนเก็บ foreign share ในพอร์ตไม่นำมาซื้อขาย แม้ว่านักลงทุนต่างประเทศมีความต้องการที่จะซื้อหุ้นกลุ่ม foreign share แต่อาจไม่มีผู้ขาย
![SET 8](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/Screen-Shot-2563-12-23-at-09.28.08.png)
จากการขายสุทธิกว่า 291,480 ล้านบาทของนักลงทุนต่างประเทศพบว่าเป็นการขายสุทธิในหุ้นกลุ่ม local share กว่า 364,324 ล้านบาทขณะซื้อสุทธิในหุ้นกลุ่ม NVDR สะท้อนชัดว่ามูลค่าการขายสุทธิส่วนใหญ่เป็นการขายทำกำไรระยะสั้น
จากการขายสุทธิ 291,480 ล้านบาทของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 – สิงหาคม 2563 ทำให้มีประเด็นคำถามว่า “ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศหรือไม่”ซึ่งจากการศึกษาพฤติกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทย โดยจำแนกจำแนกกลุ่มหลักทรัพย์ตามสิทธิการออกเสียงฯ (ภาพที่ 9) พบว่า
- ขายสุทธิทำกำไรระยะสั้นใน local share กว่า 364,324 ล้านบาท
- ขายสุทธิใน foreign share ที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองไว้เพื่อลงทุนระยะยาวขายสุทธิเพียง 9,474 ล้านบาท
- ซื้อสุทธิสะสมใน NVDR กว่า 82,228 ล้านบาท โดยซื้อสุทธิ 9 เดือนจาก 15 เดือน
![SET 9](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/SET-9.png)
แสดงให้เห็นชัดเจนว่านักลงทุนต่างประเทศขายทำกำไรจากส่วนต่างราคาจาก local share แต่ถือครอง foreign share เพื่อให้ได้รับทั้งสิทธิประโยชน์ทางการเงินและสิทธิออกเสียงฯสำหรับการลงทุนระยะยาวขณะที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิสะสมหุ้น NVDR เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการเงินครบถ้วนและมีสภาพคล่องซื้อขายเทียบเท่ากับ local share
นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,215 หลักทรัพย์จากทั้งหมด 7,179 หลักทรัพย์ที่ทำการซื้อขาย
ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 – สิงหาคม 2563 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการซื้อขาย 14.4 ล้านล้านบาท จาก 7,179 หลักทรัพย์ โดยมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดไทยกว่า 291,480 ล้านบาท แต่จากการศึกษาพบข้อมูลที่น่าสนใจ คือ นักลงทุนต่างประเทศมีฐานะเป็นผู้ซื้อสุทธิใน 2,215 หลักทรัพย์ (ตารางที่ 2)
มูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายหุ้นสามัญ ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 12.4 ล้านล้านบาท (85.9% ของมูลค่าการซื้อขาย) จากหุ้นสามัญ 798 หลักทรัพย์ มีสถานะขายสุทธิ 289,246 ล้านบาท แต่ “นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิใน 371 หลักทรัพย์” แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างประเทศมีการเลือกสะสมหุ้นสามัญบางหลักทรัพย์
![](https://www.moneyclub.asia/wp-content/uploads/2020/12/image-12.png)
“ใบสาคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์” หรือ Derivative Warrants (DW) เป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อขายด้วยจานวนหลักทรัพย์มากที่สุด ด้วยจานวน 6,225 หลักทรัพย์ มีมูลค่าการซื้อขายรวม 2.0 ล้านล้านบาท และมีสถานะขายสุทธิ 2,828 ล้านบาท และมี 1,783 หลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ
“ใบสาคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ” หรือ Warrants เป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิสูงสุดรวม 597 ล้านบาท ขณะที่ “กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์” หรือ Exchange Traded Fund (ETF) เป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วน “จานวนหลักทรัพย์ที่ซื้อสุทธิ” ต่อ “จานวนหลักทรัพย์ที่ซื้อขาย” มากกว่าหลักทรัพย์ประเภทอื่น โดยซื้อสุทธิใน 11 หลักทรัพย์จากทั้งหมด 16 หลักทรัพย์ สะท้อนในเห็นว่า นักลงทุนต่างประเทศมีการเก็บสะสมในหลักทรัพย์กลุ่มนี้
นักลงทุนต่างประเทศสะสมหุ้นจากการใช้สิทธิและได้รับสิทธิผ่านกิจกรรมระดมทุนและกิจกรรม corporate actions
จากการพิจารณากิจกรรมระดมทุนและกิจกรรม corporate actions ของ 31 บริษัทจดทะเบียน ในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 – สิงหาคม 2563 พบว่า มีมูลค่ากิจกรรมฯ รวม 133,903 ล้านบาท พบว่านักลงทุนต่างประเทศ 34 สัญชาติได้ใช้สิทธิและรับสิทธิประโยชน์จากบริษัทจดทะเบียนรวม 18,397 ล้านบาท โดยอันดับแรกเป็นการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนที่เสนอขายต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกของบริษัทจดทะเบียนที่จะเข้าซื้อขายในตลาด (IPO) มูลค่ารวม 9,517 ล้านบาทอันดับ 2 คือการใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6,303 ล้านบาท อันดับที่ 3 คือ การแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ (warrant) เป็นหุ้นสามัญ 2,440 ล้านบาท และอันดับสุดท้าย การปันผลเป็นหุ้นสามัญ 137 ล้านบาท (ตารางที่ 3)
![](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/12/SET-1.3.png)
กล่าวโดยสรุปจากพฤติกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์และพฤติกรรมการถือครองหลักทรัพย์สะท้อนว่า “ นักลงทุนต่างประเทศยังสนใจลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย” โดยถือ foreign share มากกว่า 3 ใน 4 ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศและนำมาซื้อขายน้อยมาก ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจซื้อขาย local shares และ NVDR เนื่องจากสภาพคล่องสูงเพื่อทำกำไรระยะสั้น
นอกจากผลการศึกษาข้างต้นแล้ว ในเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่มีข่าวความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่บริษัทยาชั้นนำทั่วโลกทดลองวิจัยและพัฒนาวัคซีนได้รับผลดีกว่าที่คาดทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นกระแสเงินจากต่างประเทศไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่างๆโดยในเดือนพฤศจิกายน 2563 นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยเป็นเดือนแรกในรอบ 16 เดือน (นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562) ด้วยมูลค่าซื้อสุทธิ 32,506 ล้านบาทขณะที่ SET Index เพิ่มขึ้น Index ปิดที่ 1,408.31 จุดหรือเพิ่มขึ้น 213.36 จุดในเดือนเดียวคาดว่าปัจจัยบวกจากราคาหลักทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้มูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 7% ใกล้เคียงการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 7% ของ SET100 Index
บทความโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : KKP Research เผยตลาดหุ้นไทยยังติดหล่ม Old Economy ยังขาดบริษัทเทคโนโลยี