Bitcoin และทองคำ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจับตามองว่าจะได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และก็เป็นทองคำที่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ได้ในที่สุดด้วยราคาที่ยืนเหนือ 2,000 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ขณะที่ Bitcoin แม้จะยังไม่สามารถขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมในปี 2017 ที่ระดับราคา 20,000 ดอลลาร์ แต่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ก็ยังสามารถสร้างรีเทิรน์ได้ถึง 63% ขณะที่ทองคำสร้างผลตอบแทน 32.64%
อย่างไรก็ตามสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้ออกบทวิเคราะห์ตลาดคริปโตออกมาล่าสุดระบุว่าค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างสองสินทรัพย์กำลังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างบิทคอยน์และดัชนี S&P500 ได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ก่อนหน้านี้จะมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันในช่วงสั้น ๆ ที่ตลาดถูกเทขายอย่างหนักในช่วงวิกฤตโควิดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
จากกราฟแสดงให้เห็นค่าความสัมพันธ์ระหว่างบิทคอยน์และดัชนี S&P 500 โดยระดับ 1.0 แสดงว่ามีความสัมพันธ์ที่ชัดเจน (เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน) และ -1.0 แสดงว่าตลาดไม่มีความสัมพันธ์กันทางด้านราคาเลย
ช่วงที่เกิดวิกฤตโควิดจะเห็นว่าค่าความสัมพันธ์ได้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 0.6 แต่ล่าสุดค่าความสัมพันธ์ได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.2 บ่งบอกว่าบิทคอยน์และดัชนี S&P 500 ไม่ได้ขึ้นลงไปในทิศทางเดียวกันอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้บลูมเบิร์กได้ออกมาระบุแล้วว่า Bitcoin ใกล้มีสถานะกลายเป็นทองคำดิจิทัลเนื่องจากด้วยการเป็นสินทรัพย์ที่มีปริมาณอยู่อย่างจำกัด และมีอัตราเฟ้อในระดับต่ำ ปัจจุบันราคาบิทคอยน์ในตลาดปัจจุบันมีเสถียรภาพที่ 6 เท่าของราคาทองคำ แสดงว่ามูลค่าของบิทคอยน์ยังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง
หากดูจากกราฟที่แสดงราคาของทองคำเปรียบเทียบกับบิทคอยน์จะเห็นว่าแนวโน้มราคาของสองสินทรัพย์แทบจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันและจากการประเมินของบลูมเบิร์กราคาบิทคอยน์มีโอกาสที่จะแตะระดับ 18,000 ดอลลาร์ หากเคลื่อนไหวตามราคาทองคำที่เริ่มแซงหน้าบิทคอยน์ไปอย่างชัดเจนตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม
หาก FED รวมถึงธนาคารกลางอื่นของโลกยังคงอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินดอลลาร์จะยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงกว่า 5% สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีความเป็น Store Of Value หรือสิ่งกักเก็บมูลค่าที่สามารถนำมาใช้ทดแทนเงินได้
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทำความรู้จัก Decentralize Finance ระบบการเงินแห่งอนาคตที่จะ Disrupt ธนาคาร
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการจะเก็งกำไรแต่ต้องการที่จะสะสมมูลค่าของบิทคอยน์ก็สามารถใช้วิธีการลงทุนแบบ DCA ได้เช่นกัน โดย Coin Metric เวบไซต์วิจัยตลาดคริปโตระบุว่านักลงทุนที่ลงทุนบิทคอยน์ด้วยวิธี Dollar Cost Average (DCA) หรือการซื้อเฉลี่ยราคาอย่างต่อเนื่องยังคงมีกำไรแม้ว่าจะเข้าซื้อในราคาสูงสุดที่ 20,000 ดอลลาร์ก็ตาม
โดยผลตอบแทนเฉลี่ยด้วยการลงทุนบิทคอยน์ด้วย DCA ในช่วงสามปีที่ผ่านมาสามารถทำได้ถึง 61.8% แม้ว่าราคาจะลงทำจุดต่ำสุดในปี 2019 และในปีนี้ โดยใครที่สะสมบิทคอยน์แม้ในช่วงที่เป็นขาลงสุดๆก็ยังมีผลกำไรในตอนนี้
แม้บิทคอยน์จะซื้อขายกันที่ราคาลดลง 30% จากจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม 2017 จะยังสามารถทำกำไรได้ 61.8% หรือเฉลี่ยปีละ 20.1% ขณะที่ Ethereum ซึ่งราคาลดลงจากจุดสูงสุด 71% หากลงทุนแบบ DCA ก็ยังสร้างผลตอบแทนได้ 87.6% หรือเฉลี่ยปีละ 27.9%
Coin Metrics ยังระบุด้วยว่า แนวโน้มราคาของบิทคอยน์มีลักษณะของการเป็นวัฎจักร กล่าวคือ มีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงทุก ๆ สี่ปี ซึ่งทำให้การลงทุนแบบ DCA มีประสิทธิภาพ
ขณะที่มูลค่ารับรู้ของบิทคอยน์ (Realized Price) ณ ขณะนี้ได้ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จากข้อมูลของ Glassnode
Realized Pirce ที่เพิ่มขึ้นนั้นบ่งบอกว่ามีการเติบโตของจำนวน Address ที่เกิดจากการซื้อบิทคอยน์ใหม่ในราคาที่สูงขึ้น และยังสามารถบ่งบอกได้อีกด้วยว่ามีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดและทำการซื้อในขณะที่ราคาบิทคอยน์กำลังเป็นขาขึ้น
Bitcoin จึงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจในการลงทุนเช่นเดียวกับทองคำสวนทางกับ Fiat Currency ที่มูลค่าลดลงอย่างต่อเนื่อง
บทความที่เกี่ยวข้อง : รีวิวการเปิดบัญชีและซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ Bitazza