Jitta Wealth เปิดบริการใหม่ Jitta Ranking – U.S. Techเน้นลงทุนหุ้นธุรกิจเทคโนโลยีแห่งอนาคตในตลาดหุ้นแนสแดค (Nasdaq) และนิวยอร์ค (NYSE) ของสหรัฐฯโดยใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัว Jitta Ranking คัดสรรหุ้นเทคโนโลยีพื้นฐานดีเติบโตสูงอย่างมีหลักการพิสูจน์แล้วว่าสร้างผลตอบแทนระยะยาวชนะดัชนี Nasdaq และ S&P 500 พร้อมค่าธรรมเนียมต่ำและยุติธรรม
นายตราวุทธิ์ ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta Wealth ย้ำบริษัทฯตั้งใจมอบโอกาสที่ดีที่สุดในการลงทุนยุค New Normal เป็นเจ้าของหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศแก่นักลงทุนไทยเก็บเกี่ยวกำไรจากเมกะเทรนด์ที่มาแรงที่สุดในโลกตามแนวคิด “ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีด้วยเทคโนโลยี”
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจิตตะเวลธ์ จำกัด (Jitta Wealth) สตาร์ทอัพ WealthTechแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เปิดเผยถึงภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมเกือบ 4 ล้านคน และผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นวันละ 5-6 หมื่นคน ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับลดลง 0.01% จากต้นปี 2563 ดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวขึ้นมาถึง 17%
นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเทคโนโลยีเป็นอันมาก เนื่องจากประชาชนต้องปรับตัว หันมาทำกิจกรรมเกือบแทบทุกอย่างออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้านหรือ Work from Home การเข้าร่วมงานสัมมนาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) การซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ (E-Commerce) สั่งอาหาร หรือสินค้า ผ่านบริการเดลิเวอรี่ (Delivery) และการรับชมภาพยนต์จากระบบสตรีมมิง (Streaming) ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ (Smartphone) หรือ แทบเล็ต (Tablet)
“ทุกคนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอด ทำให้ยอดผู้ใช้บริการธุรกิจเทคโนโลยีหลายแห่งพุ่งพรวด เช่น Netflix ผู้ให้บริการความบันเทิงครบรสผ่านระบบสตรีมมิง ที่ไตรมาสแรกทุบสถิติ ทำยอดสมาชิกใหม่ 15.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 65% จาก 9.6 ล้านคนในไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว ไตรมาสที่ 2 กวาดมาได้อีก 10.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 274% จาก 2.7 ล้านคนในไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว พร้อมรายได้ที่เพิ่มขึ้น 24.9% เป็น 6.15 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งหุ้น Netflix ปีนี้ทะยานขึ้น 60% จนมูลค่าตลาดแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Disney ไปแล้ว” นายตราวุทธิ์ กล่าว
นายตราวุทธิ์ ได้กล่าวถึงหุ้นเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูงในขณะนี้ ด้วยแรงหนุนจาก Disruptive Technology ที่ตอบโจทย์ต่อพฤติกรรมของผู้ใช้งานในยุค New Normal อย่างมาก เช่น เทคโนโลยีส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ การเงินและการลงทุน ล้วนแล้วแต่ให้บริการบนพื้นฐานของคลาวด์คอมพิวติง ที่ทำให้การเข้าถึงและการใช้งานสะดวกใช้งานจากที่ไหนก็ได้ สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วไปทั่วทุกมุมโลก จึงทำให้ธุรกิจเทคโนโลยีในยุคนี้สามารถสร้างรายได้เติบโตได้แบบทวีคูณ ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงตาม
ทั้งนี้ บริษัทเทคโนโลยีที่อยู่ในธุรกิจคลาวด์คอมพิวติง (Cloud Computing) สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ ผู้ให้บริการคลาวด์โซลูชัน (Cloud Solutions) เช่น Amazon Google และ Microsoft และกลุ่มผู้ใช้งานคลาวด์โซลูชัน ซึ่งก็คือบริษัทพัฒนาโปรแกรมที่ให้บริการอยู่ในชีวิตประจำวันในรูปแบบ SaaS (Software as a Service) เช่น Zoom Netflix และ Salesforce
โดยบริษัทเหล่านี้สามารถสร้างรายได้มหาศาล ยกตัวอย่างเช่น Amazon ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ผู้ให้บริการคลาวด์โซลูชันเกือบ 50% และยังสามารถเพิ่มรายได้จากการให้บริการคลาวด์โซลูชัน ในไตรมาสแรกของปี 2563 ขึ้นอีก 33% ทะลุ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ยังไม่นับรวมรายได้จากธุรกิจอื่น เช่น ค่าสมาชิก Amazon Prime และค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในขณะที่ Zoom ซอฟต์แวร์วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ก็ได้พลิกตัวจากหุ้นน้องใหม่ มาเป็นแบรนด์ดังประจำบ้านภายในชั่วข้ามคืน และสามารถทำรายได้ไตรมาส 1 ปี 2563 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 169% และทางด้านราคาหุ้น Zoom จากราคา 68.72 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น เมื่อต้นปี พุ่งขึ้น 292% มาอยู่ที่ระดับใกล้ 270 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น
“ธุรกิจเทคโนโลยีที่เติบโตได้อย่างโดดเด่น มักเป็นธุรกิจที่ล้อไปกับเมกะเทรนด์ของโลก ไม่ว่าจะเป็น cloud computing, AI, Fintech และ e-commerce โดย cloud computing เป็นกลุ่มที่น่าจับตามองที่สุด เพราะเป็นพื้นฐานของแทบจะทุกเทคโนโลยีที่เราใช้งานอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น การสั่งซื้อของออนไลน์ การเรียกรถรับส่ง หรือแม้แต่การพูดคุยกับเพื่อนผ่านโปรแกรมแชท ก็ทำผ่านระบบ cloud ทั้งสิ้น เรียกได้ว่า ตราบใดที่คนยังใช้อินเทอร์เน็ต ธุรกิจเทคโนโลยีในกลุ่ม cloud computing ก็มีแนวโน้มจะคงอยู่และเติบโตต่อไป” นายตราวุทธิ์เสริม
ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta Wealth เปิดเผยว่า Jitta Wealth ได้เล็งเห็นถึงโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี จากการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเมกะเทรนด์ที่จะขับเคลื่อนโลกต่อไปในภายภาคหน้าเหล่านี้ จึงเปิดให้บริการ Jitta Ranking – U.S. Tech เพื่อให้นักลงทุนได้มีโอกาสลงทุนหุ้นธุรกิจแห่งอนาคตในสหรัฐอเมริกา
Jitta Wealth ได้ใช้เทคโนโลยีเฉพาะตัวที่เรียกว่า Jitta Ranking วิเคราะห์และคัดกรองหุ้นเทคโนโลยีประมาณ 30 หุ้นที่มีผลประกอบการดี เติบโตสูง น่าลงทุนที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แนสแดค (Nasdaq) และตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ค (NYSE)
โดยกระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน ซึ่งเป็นแนวทางที่พิสูจน์ผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีแล้วพบว่า ทำกำไรได้เฉลี่ย 17.67% ต่อปี มากกว่าอัตราผลตอบแทนดัชนี Nasdaq ที่ทำได้ 16.09% ต่อปี และ S&P 500 ที่ทำได้ 13.56% ต่อปี
นายตราวุทธิ์ ย้ำว่า Jitta Ranking – U.S. Tech คือ “การลงทุนหุ้นเทคโนโลยีด้วยเทคโนโลยี” มีจุดเด่น คือ ช่วยคัดสรรหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดด้วยอัลกอริทึมอย่างมีหลักการ ไม่โน้มเอียงไปตามความชอบส่วนบุคคล ทั้งรักษาวินัยการลงทุนที่ดีด้วยการปรับพอร์ตอัตโนมัติทุกๆ 3 เดือน พร้อมค่าธรรมเนียมที่ต่ำและยุติธรรม
โดยมีค่าบริหารจัดการต่ำมากเพียง 0.5% ต่อปี และส่วนแบ่ง 10% ของกำไร ที่นักลงทุนจ่ายเฉพาะปีที่มีกำไรเท่านั้น ตรงตามวัตถุประสงค์ของ Jitta Wealth ที่ต้องการมอบโอกาสทางการลงทุนที่ดีที่สุดให้นักลงทุน เพื่อปั้นพอร์ตให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ธนาคารกสิกรไทย เปิดตัว ‘Wealth PLUS’ ฟีเจอร์ช่วยจัดพอร์ตลงทุนส่วนตัวบน K PLUS