ราคาทอง

4 ปัจจัยหนุนทองคำไปได้ต่อ มุมมองเชิงเทคนิคมีโอกาสแตะ 2,100 ดอลลาร์

โดย SM1984

ราคาทอง ยังคงเดินหน้าสร้างจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง มุมมองเชิงเทคนิคยังมีโอกาสไปได้ถึงระดับ 2,100 ดอลลาร์ ขณะที่ปัจจัยด้านพื้นฐานยังหนุนทิศทางขาขึ้นต่อ แต่ระยะสั้นอาจมีการเทขายทำกำไรจากการที่เริ่มเข้าเขต Overbought

วิเคราะห์ด้วยกราฟเทคนิค การที่ราคาทองคำสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่เหนือ 1,920 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมในปี 2012 ไปได้ หากยังสามารถยืนอยู่เหนือระดับดังกล่าวได้ต่อเนื่อง ราคาทอง มีโอกาสที่จะพุ่งแตะระดับ 2,100 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเป้าหมายตามแนว Fibonacci 161.8

ทั้งนี้ทองคำยังมีแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ ซึ่งน่าจะเป็นระดับที่มีผู้รอขายเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันค่า RSI ได้วิ่งขึ้นมาแตะระดับ 90 แล้วซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงการซื้อมากเกินไป (Overbought) ทำให้ระยะสั้นอาจมีการเทขายทำกำไรออกมา

อย่างไรก็ตามในระยะยาวยังมีปัจจัยพื้นฐานที่สามารถหนุนราคาทองคำให้ยังคงปรับตัวขึ้นต่อไปได้ดังต่อไปนี้

แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

สภาครองเกรสได้อนุมัติแผนเยียวยาเศรษฐกิจมูลค่า 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ สูงที่สุดในประวัติศาสตร์มากกว่าในปี 2008 และ 2009 ที่เข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามหนี้ที่เกิดขึ้นกว่า 23.5 ล้านล้านดอลลาร์ รัฐบาลสหรัฐฯไม่มีงบประมาณพอที่จะจ่ายได้

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ FED เพราะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0% และเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเสริมสภาพคล่องอย่างไม่มีจำกัดด้วยการพิมพ์เงินกว่า 125,000 ล้านดอลลาร์ต่อวันเข้ามาซื้อหนี้ก้อนนี้ได้

อีกทั้งไม่เฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ต้องปั้มเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลทั่วโลกต่างอัดฉีดเงินนับล้านล้านดอลลาร์เข้าไปพยุงเศรษฐกิจที่ชะงักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด กล่าวได้ว่าแต่ละรัฐบาลลดมูลค่าสกุลเงินของตัวเองลงซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาทองคำ

นโยบายอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตรติดลบ

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พันธบัตรรัฐบาลมีผลตอบแทนติดลบมีมูลค่าแตะ 15 ล้านล้านดอลลาร์  สื่อชั้นนำอย่าง Market Watch ได้ออกมากล่าวว่าต้องยอมรับว่านี่คือความล้มเหลวในการบริหารจัดการหนี้สินจำนวนมหาศาลนี้

ผลตอบแทนที่ติดลบนี้ทำให้เม็ดเงินนับล้านล้านดอลลาร์ไหลออกจากกองทุนบำเหน็จบำนาญและพอร์ตของบริษัทประกันเข้าไปยังทองคำซึ่งจะผลักดันให้ราคาทองคำขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่

หลายๆประเทศกำลังใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบเช่นกัน ทองคำจึงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แม้แต่นักลงทุนที่ไม่เคยสนใจทองคำก็ต้องกลับใจหันมาถือทองคำเช่นกัน

จีนและรัสเซียแห่ซื้อทองคำตุนไว้

ธนาคารกลางอื่นทั่วโลกกำลังใช้ทองคำมาแทนที่เงินดอลลาร์ด้วยการนำมาเก็บไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศโดยเฉพาะจีนและรัสเซียที่เข้าซื้อทองคำเพราะต้องการที่จะประกันความเสี่ยงกับสกุลเงินดอลลาร์ที่ถืออยู่

แม้จะยังถือเงินดอลลาร์ในสัดส่วนที่สูงแต่เมื่อมูลค่าของมันศูนย์สลาย ทองคำจะช่วยป้องกันความเสียหายนั้นได้ ประเทศจีนได้เพิ่มซัพพลายของทองคำขึ้นกว่า 210% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เช่นเดียวกับรัสเซียที่เพิ่มสัดส่วนของทองคำกว่า 388% ตั้งแต่ปี 2006 ทำให้กลายเป็นประเทศผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก

ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง

ผลจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯพิมพ์เงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เริ่มติดลบ จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดที่ยังไม่ลดลง และประเด็นใหม่คือความตึงเครียดทางการทูตกับจีน ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลบวกต่อราคาทองคำรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ

เห็นได้ว่าจากปัจจัยมหภาค ผู้ซื้อทองคำคือนักลงทุนสถาบันรวมถึงธนาคารกลางใหญ่ของโลก แม้นักลงทุนรายย่อยจะมีต้นทุนทองคำในระดับที่ต่หากมีการเทขายออกมาก็อาจไม่ส่งผลต่อราคาทองคำในตลาดโลกมากนัก อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องพบเจอหลังจากนี้คือความผันผวนของราคาทองคำจะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทำความรู้จัก Decentralize Finance ระบบการเงินแห่งอนาคตที่จะ Disrupt ธนาคาร

Related Posts