ธุรกิจกัญชา ถือเป็นหนึ่งในกระแสหลักของโลกที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากการที่หลายประเทศเริ่มปลดล๊อกให้ออกจากการเป็นยาเสพติด รวมถึงประเทศไทย เราไปดูกันว่าเราจะลงทุนในธุรกิจที่กำลังเป็น Mega Trend นี้ได้อย่างไร
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : รีวิว Interactive Brokers โบรกเทรดหุ้นต่างประเทศที่ดีที่สุด
หุ้นกัญชาในระดับโลก
ในหลายๆประเทศเริ่มที่จะเปิดเสรีในเรื่องของ ธุรกิจกัญชา ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูก การนำไปใช้ในเชิงการแพทย์ การผลิตในเชิงพาณิชย์ ตลอดจนใช้ในเชิงสันทนาการ โดยประเทศที่ได้ชื่อว่าเสรีมากที่สุดก็คือแคนาดา ส่วนตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็คือสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะมีเพียงแค่บางรัฐอย่างแคลิฟอร์เนียเท่านั้นที่อนุญาตให้ทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาได้
บริษัทหรือหุ้นที่ดำเนินธุรกิจกัญชาขนาดใหญ่ระดับโลกส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดาและอังกฤษ เกือบทั้งหมดจดทะเบียนอยู่ในตลาด NASDAQ อย่างเช่น Aurora Cannabis,Tilray,Cronos Group,Village Farms และ Canopy Growth Corp
ลงทุนธุรกิจกัญชาผ่าน ETF
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนใน ธุรกิจกัญชา ในระดับโลกสามารถลงทุนผ่านกองทุน ETF ซึ่งจะกระจายการลงทุนลงไปยังบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและสามารถซื้อขายได้ผ่านทางโบรกเกอร์เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง
กองแรกที่แนะนำคือ ETFMG Alternative Harvest ETF หรือตัวย่อ MJ ซึ่งเป็น ETF ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีมูลค่าสินทรัพย์ 1,440 ล้านดอลลาร์ เน้นลงทุนในหุ้นกัญชาทั้งสหรัฐฯ แคนาดา อังกฤษ ช่วงสองปีแรกของการตั้งกองทุนสามาถสร้างผลตอบแทนได้อย่างดีแต่ช่วงสองปีหลังมีผลงานที่ลดลงเนื่องจากมีการนำผลกำไรไปลงทุนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2021 ทำได้ถึง 32% และหากนับย้อนหลังไปสามเดือนสามาถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 78.91% ถือได้ว่ากำลังสร้างผลงานเป็นขาขึ้นกลับมาถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุน
รวมถึง AdvisorShares Pure US Cannabis ETF หรือ MSOS เป็นกองทุนน้องใหม่ที่เติบโตรวดเร็ว แม้ว่าจะมีขนาดกองเพียง 250 ล้านดอลลาร์ เล็กกว่า MJ ถึงหนึ่งในสี่ แต่ความน่าสนใจของ ETF นี้ก็คือจะลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชาทางอ้อมด้วยรวมถึงบริษัทสตาร์ทอัพ เหมาะสำหรับผู้ที่มองว่าบริษัทขนาดเล็กมีโอกาสจะเติบโตได้ในอนาคต
ข้อมูลจาก Yahoo.finance ระบุว่าตั้งแต่เปิดให้ลงทุนในเดือนกันยายนปีที่แล้วนี่เอง ผลตอบแทนจากการลงทุนก็แตะระดับ 100% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือได้ว่าเริ่มต้นได้อย่างดีทีเดียว
ธุรกิจกัญชายังไม่เริ่มต้นในประเทศไทยแต่เริ่มที่กัญชง
ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนว่ากัญชาและกัญชงมีความแตกต่างกัน บ้างก็ว่ากัญชงเหมือนเป็นเพศเมียของกัญชา แต่ในเชิงทฤษฎี กัญชาจะมีสารที่เรียกว่า THC ซึ่งมีผลออกฤทธิ์ทางประสาท ตรงนี้ยังไม่ได้รับอนุญาตให้สกัดออกมาทำธุรกิจเชิงพาณิชย์แต่อย่างไรสามารถใช้ในทางการแพทย์ได้เท่านั้นและปลูกในวงจำกัด
ส่วนกัญชงจะมีสารที่เรียกว่า CBD ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมของสินค้าต่างซึ่งไม่มีผลออกฤทธิ์ทางประสาท แต่มีคุณสมบัติทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดย CBD ที่น้อยกว่าระดับ 0.2% จะไม่นับเป็นสารเสพติด
ธุรกิจหรือบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยที่จะมีโอกาสเกาะกระแสของกัญชงในการนำมาต่อยอดธุรกิจก็คือกลุ่มผู้ผลิตเครื่องสำอางสมุนไพรและกลุ่มผู้ผลิตอาหารเครื่องดื่ม
ส่วนโอกาสที่จะสามารถนำกัญชามาต่อยอดทางธุรกิจหรือเปิดเสรีให้สามารถทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาได้ตั้งแต่ต้นน้ำอย่างเช่นเพาะปลูกเหมือนในหลายประเทศอาจจะยังเป็นอนาคตที่ค่อนข้างไกลพอสมควรซึ่งอาจจะต้องรอพัฒนาการตรงนี้ไปก่อน
หุ้นตัวไหนจะได้รับประโยชน์จากกระแสกัญชง
สำหรับประเทศไทยนับตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุขปลดล๊อกให้กัญชาและกัญชงออกจากกลุ่มยาเสพติดตั้งแต่ปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ล่าสุดทาง อ.ย. ได้ออกมาประกาศว่าสินค้ากลุ่มแรกที่จะสามารถนำกัญชงมาผลิตเชิงพาณิชย์ได้ก็คือเครื่องสำอาง และสมุนไพรไทย ส่วนอาหารคาดว่าจะอนุญาตได้ภายใน เม.ย.64 นี้ ซึ่งครอบคลุมทั้งเครื่องดื่ม อาหารเสริม ขนม
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ (ประเทศไทย) ได้ออกบทวิเคราะห์ว่าน่าจะมีหุ้นตัวใดบ้างที่มีดอกาสจะผลิตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกัญชงออกมาในล๊อตแรกซึ่งน่าจะประกอบไปด้วย
1) กลุ่มบริษัทผู้ผลิตอาหารและเวชภัณฑ์ต้นน้ำซึ่งสามารถสกัดสาร CBD ออกจากกัญชงนำไปใช้งานต่อ ซึ่งปัจจุบันมี 3 บริษัทที่มีศักยภาพสามารถทำได้คือ RBF, DOD และ IP
2) ผู้ประกอบการเครื่องสำอางและสมุนไพรที่จะนำสาร CBD ไปผลิตสินค้าต่อ เช่น BEAUTY, KAMART, DDD และ RS
3) ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มเช่น CBG,OSP,ICHI,SAPPE,RS,GLOCON,JKN,NRF
ขณะที่ บล.โกลเบล็ก ได้แนะนำหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการขออนุญาตปลูกกัญชงเพื่อการค้า ได้แก่ DOD ICHI CBG OSP SAPPE DDD และ RBF ซึ่งถือว่าทั้งสองโบรกฯได้แนะนำหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกับกัญชงที่ใกล้เคียงกัน
ถือได้ว่าทั้งกัญชาและกัญชงเป็นธุรกิจที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงในอนาคต อย่างไรก็ตามธุรกิจดังกล่าวเพิ่งจะอยู่ในสเตจแรกเท่านั้นยังต้องยังถือว่ามีความเสี่ยงทางด้านกฎระเบียบอยู่อีกพอสมควร นักลงทุนต้องระมัดระวังความเสี่ยงนี้เป็นอย่างดี
บทความที่เกี่ยวข้อง : 8 อุตสาหกรรมเติบโตสูงสร้างผลตอบแทนดีในยุค Next Normal