ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยรายงานผลประกอบการของ บจ. ครึ่งแรกปี 2563 มีกำไรสุทธิ 187,901 ล้านบาท ลดลง 58.7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และจากสงครามราคาน้ำมันในไตรมาสแรก
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บจ. จำนวน 691 บริษัท หรือคิดเป็น 95.4% จากทั้งหมด 724 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) นำส่งผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปี 2563 และไตรมาส 2/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พบว่า บจ. ที่รายงานผลกำไรสุทธิมีจำนวน 456 บริษัท สัดส่วนคิดเป็น 66.0% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
ผลการดำเนินงาน บจ. ใน SET ในครึ่งแรกของปี 2563 มียอดขายรวม 5,026,268 ล้านบาท ลดลง 13.3% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core operating profit) 273,267 ล้านบาท ลดลง 43.8% และมีกำไรสุทธิ 187,901 ล้านบาท ลดลง 58.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การลดลงของรายได้ทำให้ดัชนีชี้วัดความสามารถการทำกำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ลดลงจาก 21.3% เป็น 20.5% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit margin) ลดลงจาก 8.4% เป็น 5.4% และมีอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) ลดลงจาก 7.8% เป็น 3.7%
ทั้งนี้ หากไม่รวมหมวดธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีภัณฑ์ บจ. มียอดขายลดลง 5.6% มีกำไรจากการดำเนินงานหลักลดลง 13.3% และมีกำไรสุทธิลดลง 41.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 27.8% เป็น 28.5% มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักลดลงจาก 8.3% เป็น 7.6% และมีอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 9.7% เป็น 6.0%
เห็นได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจปรับตัวได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานหลักลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับยอดขายที่ลดลงในภาพรวม
ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 บจ. มียอดขายรวม 2,263,438 ล้านบาท ลดลง 22.3% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 143,901 ล้านบาท ลดลง 33.1% และมีกำไรสุทธิ 107,256 ล้านบาท ลดลง 47.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในไตรมาส 2/2563 ส่งผลให้ บจ. ไทยได้รับผลกระทบในวงกว้างเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งด้านยอดขายและกำไรสุทธิ อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคจากมาตรการรักษาระยะห่าง (social distancing) ทำให้ บจ. มีการปรับตัวโดยเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น รวมถึงการทำงานจากบ้าน (work from home) ส่งผลให้ผู้บริโภคใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารมากขึ้น และทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารและกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยังคงมีกำไรจากการดำเนินงานหลักปรับเพิ่มขึ้นได้ ” นายแมนพงศ์ กล่าว
สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ สิ้นไตรมาส 2/2563 บจ. ไทยมีหนี้สินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.57 เท่า เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 1.35 เท่า
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มียอดขายรวม 82,540 ล้านบาท ลดลง 7.9% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก 3,068 ล้านบาท ลดลง 8.4% และมีกำไรสุทธิ 1,086 ล้านบาท ลดลง 73.0% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 162 บริษัท คิดเป็น 95% จากทั้งหมด 171 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC บริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวดและบริษัทที่นำส่งงบไม่ทันตามกำหนด) นำส่งผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรก ของปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พบ บจ. ที่รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 99 บริษัท คิดเป็น 61% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด
ผลประกอบการ บจ. mai ครึ่งปีแรก มียอดขายรวม 82,540 ล้านบาท ลดลง 7.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ต้นทุนรวม 64,705 ล้านบาท ลดลง 8.2% มีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) 3,068 ล้านบาท ลดลง 8.3% ทั้งนี้พบบาง บจ. มีการบันทึกผลขาดทุนจากรายการพิเศษระดับกว่าพันล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1,086 ล้านบาท ลดลง 73.0%
สำหรับความสามารถในการทำกำไร บจ.มีอัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวอยู่ที่ 21.6% อัตรากำไรจากการดำเนินงานทรงตัวอยู่ที่ 3.7% และอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 4.3% เป็น 1.3% สอดคล้องกับการลดลงของกำไรสุทธิ
“ภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บจ. ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จากการปิดชั่วคราวของช่องทางการจัดจำหน่าย การชะลอคำสั่งซื้อ การเลื่อนกิจกรรมตามนโยบายควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลให้ยอดขายรวมในครึ่งปีแรกลดลง อย่างไรก็ตามกลุ่มบจ.สามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ทำให้ยังคงรักษาอัตราความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ และพบ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงรักษาการเติบโตของกำไรสุทธิ คือ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มเทคโนโลยี
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 บจ. mai มียอดขายรวม 38,413 ล้านบาท ลดลง 14.2% กำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) 1,396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น12.2% ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 338 ลบ. ลดลง 84.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 285,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากสิ้นปี 2562 ขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.11 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.02 เท่า ” นายประพันธ์กล่าว
ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 171 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2563) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 300.60 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 218,211 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 994 ล้านบาทต่อวัน
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ไขปริศนาทำไมนักลงทุนต่างชาติถึงขายหุ้นไทยต่อเนื่อง 7ปีรวม 8แสนล้านบาท