สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นฝันร้ายของนักลงทุนทั่วโลก ความกังวลและหวาดกลัวว่าไวรัสโควิด19จะแพร่กระจายไปทั่วโลก ทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์การลงทุนแทบทั้งหมด โดยนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม มาร์เกตแคปของ ตลาดหุ้นโลก หายไปแล้ว 17ล้านล้านเหรียญ ภายในระยะเวลาเพียงแค่เดือนครึ่งเท่านั้น
หากเทียบกับสมัยวิกฤตซับไพร์มในปี 2008-2009 มาร์เกตแคปของตลาดหุ้นโลกก็หายไปในระดับนี้เช่นกันแต่ใช้เวลานานกว่าหลายเท่า แสดงว่าสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนแห่เทขายหุ้นอย่างบ้าคลั่งชนิดไม่เคยปรากฎมาก่อน
นับผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีหรือ Year To Date ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้งสามต่างติดลบถ้วนหน้าหลังจากวิ่งเป็นกระทิงมายาวนาน โดยดัชนี Dow Jones ติดลบ -26.23%,ดัชนี S&P500 ติดลบ -17.38% และดัชนี NASDAQ ติดลบ -8.3%
ไม่เพียงแต่ตลาดหุ้น แต่สินทรัพย์ที่ได้ชื่อว่าเป็น Safe Haven ก็ถูกเทขายด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมาถูกเทขายกว่า 60เหรียญต่อออนซ์หรือ -3.8% ในวันเดียว ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ทองคำที่เคยถูกมองว่าจะสร้างผลตอบแทนได้ดีถึงตอนนี้ให้รีเทิรน์เท่ากับ 0%
สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนแย่ที่สุดก็คือราคาน้ำมันที่ได้รับแรงกระแทกจากการที่เกิดสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียกับรัสเซีย ทำให้ราคาน้ำมัน WTI ลงมาติดลบ -43.89% เกือบจะต่ำสุดในรอบ 6 ปี
ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลก็ให้ผลตอบแทนที่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน โดยบิทคอยน์ที่เป็นสกุลเงินดิจิตอลมาร์เกตแคปสูงที่สุดปรับตัวลดลง 26.21% เช่นเดียวกับสกุลเงินดิจิตอลอื่นๆที่ปรับตัวลดลงสูงสุดถึง 50%
เงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปไหน??
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนักลงทุนทั่วโลกเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ปรากฎว่า Dollar Index แข็งค่าขึ้น หมายความว่าเม็ดเงินลงทุนได้ไหลไปอยู่ในตลาดพันธบัตรโดยเฉพาะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศให้สหรัฐอเมิรกาเข้าสู่สถานการณ์ฉุกเฉินและอัดฉีดสภาพคล่องรวม 1.5 ล้านล้านเหรีญ เข้าไปในตลาดพันธบัตรอีกเดือนละ 60,000 ล้านเหรียญ การที่ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทองคำถูกเทขายออกมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้คือธนาคารกลางสหรัฐหรือ FED ที่จะมีการประชุมในวันอังคารและพุธที่ 17-18 มีนาคม นี้จะมีแอคชั่นอย่างไร นักวิเคราะห์มองโอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ยแบบเต็มขั้นให้อยู่ในระดับ 0- 0.25% เลยทีเดียว
หากมีการลดดอกเบี้ยอยู่ในระดับดังกล่าวจริง ต้องจับตาว่าเงินที่ไหลมาอยู่ในตลาดพันธบัตรจะมีการหนีออกไปยังสินทรัพย์อื่นอย่างทองคำหรือไม่
ได้เวลาเข้าไปลงทุนหรือยัง??
คำถามสำคัญที่นักลงทุนทุกคนอยากรู้คือได้เวลาที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นโลกแล้วหรือยัง??
มาดูในเชิงเทคนิค ต้องบอกว่าตลาดหุ้นเกือบทุกแห่งเข้าสู่ภาวะหมีเป็นที่เรียร้อย โดยใช้เกณฑ์ดัชนีปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดเกิน 20% และหากดูจากกราฟเวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่จะเข้าลงทุน
หากเปรียบเทียบวิกฤตโควิด19ครั้งนี้กับครั้งก่อนคือวิกฤตซับไพร์ม ในตอนนั้น
ดัชนีS&P500 ปรับตัวลดลงเกือบ 57% ระหว่างเดือนต.ค.2550 – มี.ค.2552 ขณะที่เวลานี้ดัชนีS&P500 ยังปรับตัวลดลงไม่ถึงครึ่งหนึ่งของวิกฤตครั้งก่อน เวลานี้จึงอาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุน
ขณะที่ สตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า การทรุดตัวของตลาดหุ้นในขณะนี้จะดำเนินไปในเวลาเพียงสั้นๆ และถือเป็นโอกาสของนักลงทุนที่จะมองหาของถูกในตลาด เหมือนกับนักลงทุนที่ได้ซื้อหุ้นในเหตุการณ์”แบล็คมันเดย์”ในปี 2530 และในช่วงวิกฤตการเงินในปี 2540
เขายังประเมินอีกว่าผลกระทบจากวิกฤตรอบนี้จะกินเวลา 2-3 เดือน แล้วภายในครึ่งปีหลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาปกติอีกครั้ง
นักลงทุนยังต้องติดตามสถานการณ์ ตลาดหุ้นโลก อย่างใกล้ชิดเพราะวิกฤตรอบนี้อาจมีปัจจัยเสี่ยงที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทำไมตลาดหุ้นไทยถึงติดลบถึง 30% YTD หนักที่สุดในโลก!!