ตลาดหุ้นจีน เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดประเทศอย่างเต็มตัวรวมถึงการถูกจับตาว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกแทนที่สหรัฐฯในอนาคต ทำให้กลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนจากทั่วโลกในการมองโอกาสคว้าผลตอบแทนจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง
ทำความรู้จัก 3 ตลาดหุ้นหลักของจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง
ประเทศจีนมีตลาดหลักทรัพย์อยู่ด้วยกัน 3 แห่งคือตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai Stock Exhcnage; SSE) ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (Shenzhen Stock Exchange; SZSE) และล่าสุดคือ Star Market
โดยตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ถือเป็นกระดานหลักที่ลิสต์บริษัทขนาดใหญ่ของจีนส่วนตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นจะเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยีและบริษัทขนาดกลางขณะที่STAR Market เป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ที่วางโพสชั่นคล้ายกับตลาด NASDAQ ซึ่งเน้นธุรกิจแห่งอนาคตแต่อาจจะยังไม่สร้างผลกำไร
บทความที่เกี่ยวข้อง : ทำความรู้จัก “ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา” ตลาดทุนเบอร์หนึ่งของโลก
ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกง (Hong Kong Exchanges; HKEX) ตั้งอยู่ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนแต่ยังใช้นโยบายหนึ่งประเทศสองระบบโดยยังคงใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเปิดเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติสามารถที่จะลงทุนและซื้อขายหุ้นได้อย่างสะดวก
ตลาดหุ้นฮ่องกงยังคงเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของเอเชียและมีปริมาณการซื้อขายจากนักลงทุนทั่วโลกในฐานะประตูบานแรกก่อนเข้าสู่ประเทศจีน
ดัชนีตลาดหุ้นหลักของจีน
การที่รัฐบาลจีนยังจำกัดการลงทุนในตลาดหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติทำให้เกิดการแบ่งดัชนีตลาดหุ้นออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อใช้ในการจัดระเบียบและแบ่งกลุ่มนักลงทุนโดยมีดัชนีหลักดังนี้
A-Share เป็นกลุ่มหุ้นของบริษัทที่จัดตั้งในจีนโดยสามารถซื้อขายได้ทั้งใน SSE และ SZSE โดยจำกัดเฉพาะนักลงทุนชาวจีนหรือนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับใบอนุญาต QFII (Qualified Foreign Institutional Investor) โดยจะใช้สกุลเงินหยวนในการซื้อขายเท่านั้น
B-Share เป็นกลุ่มหุ้นของบริษัทที่จัดตั้งในจีนสามารถซื้อขายได้ทั้งใน SSE และ SZSE ซึ่งมีเฉพาะนักลทุนต่างชาติบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถซื้อขายได้โดยหุ้นที่อยู่ในตลาด SSE จะซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และหุ้นในตลาด SZSE ซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกง
H-Share เป็นกลุ่มหุ้นของบริษัทที่จัดตั้งในจีนแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยนักลงทุนต่างชาติและชาวจีนมีสิทธิในการซื้อขายด้วยเงินสกุลดอลลาร์ฮ่องกง นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่จัดตั้งในจีนที่จดทะเบียนทั้งใน HKEX และ SSE หรือ SZSE ซึ่งจะเรียกว่า A+H Companies
Red-Chip เป็นกลุ่มหุ้นของบริษัทจีนที่มีรัฐบาลจีนถือหุ้นจัดตั้งในต่างประเทศและจดทะเบียนใน HKEX
P-Chip เป็นกลุ่มหุ้นของบริษัทเอกชนจีนที่ไม่มีรัฐบาลจีนถือหุ้นจัดตั้งในต่างประเทศและจดทะเบียนใน HKEX
โดยบริษัทจัดการลงทุนที่จะจัดตั้งกองทุน ETF หรือกองทุนรวมก็จะอ้างอิงดัชนีตลาดหุ้นดังกล่าวในการจัดพอร์ตลงทุนและเสนอขายต่อนักลงทุนทั่วไป
ดัชนีอ้างอิงในตลาดหุ้นจีน
นอกจากดัชนีตลาดหุ้นแล้วยังได้มีการจัดกลุ่มดัชนีอ้างอิงหลักทรัพย์ในกลุ่มต่างๆเพื่อเป็นตัวชี้วัดในการลงทุนโดยนักลงทุนต่างชาติซึ่งจะสามารถแบ่งดัชนีหลักๆได้ดังนี้
1.MSCI China Index เป็นดัชนีที่ครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางในตลาดหุ้นจีน รวม 700 กว่าบริษัทหรือประมาณ 85% ของหุ้นทั้งหมดในตลาดจีน ครอบคลุมทั้ง A-Shares B-Shares H-Shares Red-Chips P-Chips และ ADRs
2.CSI 300 Index เป็นดัชนีหุ้นที่สะท้อนผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่ม A-Share 300 อันดับแรกที่ซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้กับตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้น
3.STAR50 Index มีชื่อเต็มว่า SSE Science and Technology Innovation Board 50 Index เป็นดัชนีหุ้นที่ประกอบด้วยหุ้น 50 อันดับแรกที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูงสุดและมีสภาพคล่องดีที่สุดในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ คล้ายกับดัชนี NASDAQ ของจีนโดยมีเป้าหมายสะท้อนประสิทธิภาพโดยรวมของบริษัทเทคโนโลยีนวัตกรรมชั้นนำของจีน
4.Hang Seng Tech Index เป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงจำนวน 30 บริษัท โดยเน้นไปที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง
หุ้นจีนที่จดทะเบียนในต่างประเทศหรือ ADR
ADR หรือ American Depository Reciepts คือตราสารสิทธิในการออกเสนอขายหุ้นในตลาดสหรัฐอเมริหากล่าวคือเป็นบริษัทสัญชาติจีนที่ดำเนินธุรกิจในประเทศจีนแต่นำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนทั่วโลกสามารถซื้อขายได้โดยง่าย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจทั่วโลก
ความน่าสนใจของตลาดหุ้นจีน
ตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดหุ้นฮ่องกงมีจุดเด่นที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดจนการเกิดขึ้นของบริษัททางด้านเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น Alibaba,Tencent,Baidu ไปจนถึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง NEO และ BYD ซึ่งสามารถแข่งขันกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฝั่งสหรัฐฯได้อย่างสูสี
นอกจากนี้ยังมีสภาพคล่องการซื้อขายในระดับสูงจากการที่มีฐานนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อและพฤติกรรมการลงทุนของชาวจีนมักจะเน้นเก็งกำไรทำให้ราคาหุ้นค่อนข้างจะมีความผันผวนสูงซึ่งเปิดโอกาสให้สามารถทำกำไรได้
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจีนมีความเสี่ยงจากนโยบายจากภาครัฐจากการที่จีนยังคงใช้ระบอบปกครองแบบคอมมูนิสต์ซึ่งรัฐบาลมีอำนาจเหนือตลาดทุนทำให้นโยบายที่ออกมาจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั้งในเชิงบวกและเชิงลบอย่างรุนแรงและอาจจะไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้นักลงทุนจึงต้องรับความเสี่ยงนี้ให้ได้
สนใจเรียนหลักสูตรออนไลน์ด้านการลงทุนคลิ๊กที่นี้