Elkrem Capital ผู้ให้บริการบริหารทรัพย์สิน DeFi ภายใต้เครือบริษัท Cryptomind Group ได้ประกาศเปิดตัวกลยุทธ์การลงทุนใหม่ เพื่อรับผลตอบแทนจากโลก Decentralized Finance ได้อย่างมั่นใจในช่วงตลาดผันผวน ด้วยการบริหารจัดการทรัพย์สินโดยผู้เชี่ยวชาญ กับ กลยุทธ์ “E-Growth” เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ไม่มีเวลาศึกษาและติดตามตลาดด้วยตนเอง โดยมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่ 500,000 บาท และเปิดให้เข้าซื้อครั้งแรก 12-19 พฤษภาคมนี้
คุณกานต์นิธิ ทองธนากุล ผู้ร่วมก่อตั้ง Cryptomind Group, Bitcoin Addict Thailand และ เจ้าของเพจ Kim DeFi Daddy ได้กล่าวเปิดตัวกลุยทธ์การลงทุนใหม่ของElkrem Capital ในงานมหกรรมการเงิน Money Expo 2022 ณ IMPACT Challenger Hall วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 โดยเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในแพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์ หรือ Decentralized Finance (DeFi) ในนาม “E-Growth” ซึ่งจะลงทุนบนแพลตฟอร์ม DeFi ระดับสากลตามมาตรฐาน Investment Framework ของบริษัท Elkrem Capital เพื่อตอบรับกับสภาวะตลาดที่อยู่ในช่วงผันผวน
โดยกลยุทธ์นี้จะกระจายการลงทุนทั้งในกลุ่มของเหรียญ Stablecoin ที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่นคง และเหรียญที่มีมูลค่าโดยรวมในตลาดสูง เช่น Bitcoin Ethereum ฯลฯ ซึ่งจะมีการปรับและเลือกสินทรัพย์ที่เข้าหลักเกณฑ์ในการลงทุนอยู่ตลอด ผ่านการสร้างผลตอบแทนใน DeFi Platform ต่าง ๆ เช่น การเป็นผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity Provider) ซึ่งการลงทุนในกลยุทธ์ “E-Growth” จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สะดวกกว่าการซื้อเหรียญคริปโทฯ และลงทุนด้วยตนเอง เนื่องจากElkrem Capital มีทีมผู้ดูแลและวิจัยกว่า 10 ชีวิต ที่จะช่วยติดตามข่าวสารและวิเคราะห์การลงทุนบน Defi Platform รวมถึงติดตามความเสี่ยง ให้แก่นักลงทุน
โดยกลยุทธ์ “E-Growth” นี้ ชูจุดเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่น ผ่านการเป็น Liquidity Provider สร้างผลตอบแทนจาก Capital Gain และ Yield ได้อย่างยั่งยืน พร้อมคัดสรร Decentralized Exchange ที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล จาก Elkrem Framework ให้นักลงทุนสามารถรับผลตอบแทนทั้งในช่วงตลาดขาขึ้น ช่วงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน ไปจนถึงตลาดขาลง เพื่อให้เกิดความครอบคลุมในทุกช่วงสภาวะตลาด
นอกจากกลยุทธ์ใหม่ “E-Growth” ที่เพิ่งเปิดตัวไปนั้น ทางElkrem Capital ยังมีอีกหนึ่งกลยุทธ์ซึ่งเป็นกลยุทธ์แรกของบริษัทที่ให้นักลงทุนได้ศึกษาและร่วมลงทุนอีกด้วย โดยกลยุทธ์นี้มีชื่อว่า “E-DFY” เป็นกลยุทธ์แรกของทาง Elkrem ที่เน้นการลงทุนไปที่กลุ่มเหรียญ Stablecoin ที่มีสินทรัพย์รองรับ (Asset Back) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มั่นคง โดยจะนำเหรียญ Stablecoin ไปลงทุนบน Decentralized Finance โดยกระจายความเสี่ยงไปในหลายแพลตฟอร์ม ลดความเสี่ยงและรับผลตอบแทนที่สูงกว่าระบบการเงินแบบเก่า
โดยที่นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่าในระยะยาวจะสามารถรักษาเงินต้นในช่วงที่ตลาดผันผวนได้อย่างหมดห่วงเพราะทาง Elkrem Capitalมีทีมงานที่คอยตามติดตลาดและตรวจสอบเหรียญอย่างเข้มงวดตลอดเวลา
ทั้งนี้ คุณกานต์นิธิ ยังได้กล่าวถึงสภาวะของตลาดในปัจจุบันที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐ หรือ Fed รวมไปถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยราคาของ Bitcoin ได้ลดลงสู่ระดับที่ต่ำกว่าระดับสูงสุดตลอดกาล (All Time High) ที่ $27,000 จากเดิม $69,000 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน
อย่างไรก็ตาม คุณกานต์นิธิ ได้กล่าวในงานว่า “คริปโทเคอร์เรนซี ณ ตอนนี้ ยังถือเป็นตลาดที่น่าสนใจอยู่ ด้วยการพัฒนาและการใช้งานจริงของโลกยุคปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ระบบการเงินในโลก Decentralized Finance ที่ให้ผลตอบแทนที่มากกว่าการเงินแบบเก่าอย่าง “ระบบการเงินแบบรวมศูนย์ (CeFi)” ซึ่งธนาคารในฐานะตัวกลางจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงจากหลากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าขยายสาขา และอื่น ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทางบริษัทจะต้องเก็บจากผู้ใช้งานในรูปแบบของค่าธรรมเนียม”
แต่สำหรับโลก DeFi แล้ว ด้วยการใช้โค้ดคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ ทุกอย่างถูกเข้าโปรแกรมไว้และดำเนินการได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ระบบการเงินแบบรวมศูนย์ (CeFi) ต้องใช้ก็หมดไปทันที ด้วยเหตุนี้เอง ผลตอบแทนในระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) จึงมีผลตอบแทนมากกว่า CeFi อย่างเห็นได้ชัด
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : Stockradars จับมือ Merkle Capital ร่วมเป็นพันธมิตรแนะนำการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล