Dow Theory คือ ทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์กราฟเทคนิค คิดค้นและพัฒนาขึ้นมากว่า 100 ปีแล้วโดย Charles Henry Dow กล่าวได้ว่าเป็นแนวคิดที่เป็นอมตะสำหรับการวิเคราะห์แนวโน้มราคาในทุกสินทรัพย์ ถ้าไม่มีความเข้าใจในทฤษฎีนี้ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน ถือเป็นสิ่งที่นักเทรดมือใหม่ทุกคนต้องเรียนรู้
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : กลยุทธ์ทำกำไรรายวันแบบ Daytrade
Dow Theory มีอยู่ด้วยกัน 6 หลักการสำคัญคือ
1.ตลาดมีการเคลื่อนไหวหลักๆอยู่ 3 รูปแบบ คือ แนวโน้มใหญ่ (Primary trend) ระยะเวลา 1-3 ปี หรือมากกว่า แนวโน้มกลาง (Intermediate trend) ระยะเวลา 3 สัปดาห์ 3 เดือน หรือมากกว่า แนวโน้มระยะสั้น (Minor trend) รายวัน เดือน หรือมากกว่า
การแบ่งแนวโน้มออกเป็นภาพใหญ่ กลาง เล็ก จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการลงทุนได้ตามแนวโน้มราคา เช่น ภาพใหญ่ของราคาอาจจะยังเป็นขาลงแต่ภาพเล็กกำลังเป็นขาขึ้น กลยุทธ์ที่เราใช้อาจจะยังต้องเทรดเก็งกำไรระยะสั้นไปก่อนให้ภาพใหญ่กลับเป็นขาขึ้นถึงจะลงทุนระยะยาวได้
2. ตลาดมี Trend แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆคือ ช่วงสะสม (The accumulation phase) ช่วงมหาชนมีส่วนร่วม (The public participation phase) ช่วงแจกจ่ายหรือปล่อยของ (The distribution phase)
ช่วงสะสมจะเป็นช่วงที่มวลชนยังไม่ให้ความสนใจมากนักแต่มีนักลงทุนบางส่วนเริ่มเข้าทะยอยสะสมจนกระทั่งราคาเริ่มขึ้นไปได้จะเข้าสู่ช่วงที่มวลชนเข้ามาซื้อขายกันมากขึ้นแต่ราคายังไม่ถึงจุดพีคอาจจะยังมีทั้งผู้ซื้อและผู้ขายแต่ราคายังเป็นขาขึ้น
จนกระทั่งราคาขึ้นไปถึงจุดสูงสุดก็จะเข้าสู่ช่วงปล่อยของที่ผู้ซื้อมาในราคาต่ำมีการทะยอยขายออกไปอย่างต่อเนื่องจนราคากลายเป็นขาลง แต่ช่วงนี้อาจเป็นช่วงที่มวลชนเข้ามาเก็งกำไรมากที่สุดด้วยต้นทุนราคาที่สูงและจะเกิดผลขาดทุนในที่สุด
ถ้าเรามีความเข้าใจธรรมชาติของแนวโน้มราคาดังกล่าวก็จะสามารถจับจังหวะในการเข้าลงทุนได้โดยไม่เป็นผู้ที่เสียเปรียบ
บทความที่เกี่ยวข้อง : การใช้ Fibonacci Retracement หาแนวรับแนวต้าน
3. ราคาสะท้อนทุกอย่างในตลาดอยู่แล้ว ( Prices Discount Everything)
บางครั้งนักลงทุนอาจจะมีคำถามว่าจะต้องใช้ปัจจัยทางพื้นฐานมาวิเคราะห์พร้อมกับปัจจัยทางเทคนิคหรือไม่ แต่ Dow Theory จะอธิบายว่าราคาที่เห็นในกระดานได้สะท้อนปัจจัยทุกสิ่งทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐาน ข่าว เหตุการณ์ อารมณ์ตลาด ฯลฯ
ผู้ที่ใช้กราฟเทคนิคจึงไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควบคู่ไปกับกราฟก็ได้ แต่สามารถใช้ปัจจัยพื้นฐานวิเคราะห์หาสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีเพื่อลงทุนหรือเทรดเพราะสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีอาจมีโอกาสที่ราคาจะไปได้ไกลกว่าสินทรัพย์ที่พื้นฐานไม่ดี แต่ถ้าสินทรัพย์พื้นฐานไม่ดีแต่ราคาเป็นขาขึ้นก็สามารถเทรดได้แต่ต้องใช้ความระวังสูง
4. ทุกอย่างต้องมีความสอดคล้องกัน (Market Indexes Must Confirm Each Other) ปัจจัยต่างๆที่นำมาใช้วิเคราะห์การลงทุนไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจมหภาค ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆรวมถึงปัจจัยพื้นฐานเฉพาะสินทรัพย์นั้นๆรวมถึงกราฟเทคนิค สามารถที่จะนำมาใช้วิเคราะห์การลงทุนร่วมกันได้ทั้งหมด
กดติดตาม Youtube Channel ได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ
5. วอลลุ่มยืนยันแนวโน้มราคา (Volume Must Confirm The Trend)
วอลลุ่มหรือปริมาณการซื้อขายจะเป็นตัวช่วยยืนยันว่าแนวโน้มราคาที่ขึ้นหรือลงนั้นเป็นของจริงหรือไม่ เนื่องจากบางสินทรัพย์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก การเปลี่ยนแปลงของราคาอาจจะเกิดขึ้นจากคนเพียงไม่กี่กลุ่มได้ แต่ถ้ามีวอลลุ่มซื้อขายมาสนับสนุนจะแสดงว่ามวลชนส่วนใหญ่มองตรงกันที่จะเข้าซื้อไม่ใช่เพียงแค่คนบางกลุ่ม การที่ราคาปรับตัวขึ้นแต่วอลลุ่มไม่ได้เพิ่มขึ้นไปด้วยจึงอาจจะเป็นการขึ้นหลอกที่มาจากการทำราคาหรือเป็นการขึ้นที่ไม่แข็งแรงพอ
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : นับคลื่นวางแผนการเทรดด้วย Elliot Wave
6. ราคาจะขึ้นจนกว่ามันจะไม่ขึ้นและจะลงจนกว่ามันจะลง (Trends exist until definitive signals prove that they have ended) .
แนวโน้มราคาประกอบไปด้วยแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) ขาลง (Downtrend) และแนวโน้มออกข้าง (Sideway) ตราบใดที่แนวโน้มยังเป็นขาขึ้นก็ยังจะสามารถถือสินทรัพย์นั้นต่อไปได้จนกว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็น Sideway หรือขาลง ขณะที่หากราคาเป็นขาลงและยังไม่เกิดจุดกลับตัว หากยังถือสินทรัพย์นั้นก้ยังจะสามารถขาดทุนไปได้เรื่อยๆ
การวิเคราะห์แนวโน้มโดยใช้ Dow Theory
การจะวิเคราะห์ว่าแนวโน้มราคาในตอนนี้เป็นขาขึ้นหรือขาลงสามารถใช้สูตรที่เรียกว่า High-Low โดยจะมีรูปแบบของราคาสามแบบ
Higher High+Higher Low
รูปแบบราคาจะมีการยกจุดสูงสุดใหม่ขึ้นเรื่อยๆขณะที่หากราคามีการย่อตัวลงมาก็จะไม่ลงไปต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิมและทุกครั้งที่มีการย่อตัวราคาก็จะมีการสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ยกสูงขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบนี้คือทรงของแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง (Strong Uptrend) ยังคือสามารถถือสินทรัพย์ได้ต่อไป
Lower High+Higher Low
แนวโน้มราคาเริ่มที่จะไม่สร้างจุดสูงสุดใหม่แม้ว่าจะยังมีการยกจุดต่ำสุดใหม่ขึ้น แนวโน้มจะเริ่มเปลี่ยนเป็น Sideway ใครที่ถือสินทรัพย์มาจนได้กำไรในระดับหนึ่งสามารถที่จะขายทำกำไรออกไปได้
Lower High+Lower Low
แนวโน้มราคาเริ่มปรับตัวลงโดยไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้และยังมีการทำจุดต่ำสุดใหม่ รูปแบบนี้คือภาพของขาลงแบบสมบูรณ์แบบ (Strong Downtrend) สามารถขายสินทรัพย์ต่างๆออกไปได้โดยยังไม่มีจังหวะในการเข้าซื้อจนกว่าราคาจะไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ราคาอาจจะ Sideway ไปก่อนหรืออาจจะยกจุดสูงสุดใหม่และเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
ขอเพียงเข้าใจหลักการอ่านแนวโน้มสามแบบนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจหลักการเทรดโดยใช้กราฟเทคนิคทั้งหมดได้แล้ว เรียกได้ว่า Dow Theory คือ พื้นฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคจริงๆและสามารถประยุกต์ใช้กับเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆได้เพื่อให้การวิเคราะห์มีความสมบูรณ์แบบ
ศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้