ทิสโก้

ทิสโก้ชี้ Fed เดินเกมการเงินเข้มกว่าคาดหวั่น Bond Yield เด้งแตะ 1.7% ฉุดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน

โดย SM1984

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ชี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณเดินเกมนโยบายการเงินเข้มกว่าตลาดคาด จับตาหาก Bond Yield เด้งแตะ 1.7% อาจฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐาน แนะจับจังหวะช้อนซื้อหุ้นยุโรป และญี่ปุ่น รับอานิสงส์กำไรโตดี ราคาหุ้นถูกกว่าสหรัฐฯ พร้อมทยอยลดน้ำหนักตลาดหุ้นเกิดใหม่   

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เดือนกันยายนที่ผ่านมา Fed ส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดค่อนข้างมาก ทั้งในแง่ความเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่อง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแรงจาก 1.3% ก่อนการประชุม มาอยู่ที่ 1.45% ถือว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน และแม้ว่าในรอบนี้ตลาดหุ้นยังไม่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากนัก เนื่องจากได้ปรับฐานลงมาก่อนจากความกังวลเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท Evergrande ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในจีน แต่หาก Bond Yield ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องก็อาจจุดชนวนให้ตลาดปรับฐานอีกครั้งได้ 

“คณะกรรมการ Fed จำนวน 9 จากทั้งหมด 18 คน สนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า และส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2566 เพิ่มขึ้นจากประชุมครั้งก่อนที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นเพียง 2 ครั้ง นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ยังส่งสัญญาณว่าในปี 2567 จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 3 ครั้ง  สำหรับแผนการลดมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน (QE) Fed ส่งสัญญาณว่าจะเริ่มประกาศลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ (QE Taper) ในการประชุมวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2564 และยุติการทำ QE ในกลางปี 2565 กรณีนี้ชี้ว่า Fed จะลดการเข้าสินทรัพย์ลงเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  ซึ่งเร็วกว่าตลาดคาดว่าจะลด QE ในอัตราเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” นายคมศรกล่าว  

ทั้งนี้ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กับนักลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ ได้ประเมินโดยใช้แบบจำลอง (Earning Yield Gap Model) พบว่า หาก Bond Yield พุ่งขึ้นเกิน 1.7% ตลาดหุ้นโลกก็มีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน โดยเฉพาะหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่มีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก ซึ่งจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในช่วงที่ Fed ปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น พบว่าตลาดหุ้น Emerging Markets มักให้ผลตอบแทนต่ำและให้ผลตอบแทนติดลบ 6 ครั้ง จากทั้งหมด 7 ครั้ง สาเหตุส่วนหนึ่งมากจากแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นที่มักให้ตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดต่างคาดการณ์กำไรปี 2564 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) ว่าจะเติบโตในอัตราที่ใกล้เคียงกันราว 7 – 9% แต่มูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นยังเทรดในระดับที่ถูกกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก โดยค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นยุโรป (STOXX 600) และตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei 225) เทรดในระดับต่ำกว่า (Discount) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) มากถึง -24% และ -29% ตามลำดับ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ Discount มากสุดในรอบกว่า 10 ปี 

จากประเด็นข้างต้นศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ ทิสโก้ จึงแนะนำให้นักลงทุนจับตา Bond Yield สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Emerging Market ลงหาก Bond Yield พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 1.7% และอาจใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป และญี่ปุ่นต่อไป 

บทความที่เกี่ยวข้อง : หลักทรัพย์บัวหลวง แนะสร้างโอกาสลงทุน “กลุ่ม Healthcare” ตลาดสหรัฐฯ รับเทรนด์สังคมผู้สูงวัย

Related Posts