ตลาดหลักทรัพย์ คือองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายและระดมทุนของบริษัทเอกชนทั้งที่จดทะเบียนอยู่ในแต่ละประเทศของตัวเองหรือบางตลาดก็ทำหน้าที่เป็นแหล่งระดมทุนให้กับกิจการจากทั่วโลก ตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นกิจการที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1531 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ภายใต้ชื่อ East India Companies เพื่อเป็นแหล่งระดมทุนให้กับกองเรือที่จะออกเดินทางแสวงหาทรัพยากรทั่วโลก
ตลาดหลักทรัพย์ มีพัฒนาการของตัวเองมาอย่างต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าเป็นองค์กรหลักของโลกตลาดทุน แต่ก็ไม่ต่างจากกิจการอื่นๆที่กำลังถูก Disrupt ครั้งใหญ่จากเทคโนโลยี
เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ได้เกิดดีลไอพีโอครั้งสำคัญของโลกนั่นคือการที่ Coinbase ซึ่งเป็น Exchange หรือศูนย์กลางซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯได้เข้าจดทะเบียนและระดมทุนในตลาด NASDAQ ซึ่งทำให้มูลค่ากิจการของ Coinbase แตะระดับ 125,000 ล้านดอลลาร์
บทความที่เกี่ยวข้อง : Coinbase ไอพีโอประวัติศาสตร์ของโลกคริปโต
ความน่าสนของ Coinbase คือการก้าวขึ้นมาเป็นหุ้นในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ (เผื่อใครไม่รู้ตลาดหุ้นหลักๆของโลกก็ลิสต์ตัวเองเป็นหุ้นตัวหนึ่งให้ซื้อขายได้เช่นกัน) ที่มีมาร์เกตแคปแซงหน้าตลาดหลักทรัพย์หลักของโลกไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นฮ่องกง (HKEX) CME Group ที่เป็นตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตลาดหุ้นลอนดอนหรือแม้แต่ตลาด NASDAQ
สินค้าประเภทสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่งจะเกิดขึ้นบนโลกนี้เพียงแค่สิบกว่าปี แต่สามารถผลักดันให้ Excahnge หรือตลาดที่ซื้อขายสินทรัพย์ประเภทนี้มีมูลค่ากิจการสูงกว่าตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมที่มีอายุมากกว่า 500 ปีได้
ที่สำคัญคือ Coinbase ไม่ใช่ Exchange ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ Excahnge ที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลกจะมีฐานอยู่ในเอเชียไม่ว่าจะเป็น Binance,OKEX หรือ Huobi ซึ่งมีฐานลูกค้าและวอลลุ่มซื้อขายที่มากกว่า Coinbase หลายเท่า ถ้าหากกิจการเหล่านี้ตัดสินใจเข้าตลาดหุ้น มูลค่ากิจการจะมากกว่าตลาดหุ้นดั้งเดิมหลายเท่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อหุ้นถูกนำมาซื้อขายบนโลกของคริปโต
ก่อนหน้านี้โปรดักต์ของ Exchange จะมีเพียงแค่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเช่น Bitcoin และเหรียญทางเลือกหรือ Altcoin เท่านั้น แต่ไม่นานมานี้ Binance ซึ่งเป็น Exchange รายใหญ่ได้เปิดให้สามารถซื้อขายโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงกับหุ้น TESLA ที่จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ชนิดที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์ก็สามารถซื้อขายหุ้น TESLA ได้
ที่สำคัญคือผู้ถือโทเคนจะได้รับเงินปันผลเช่นเดียวกับการถือหุ้น TESLA จริงอีกด้วยรวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับหลักทรัพย์ จะมีเพียงแค่สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นที่ยังถูกจำกัด
อนาคต Exchange ใหญ่ๆอาจจะมีโทเคนดิจิทัลของหุ้นสำคัญๆของโลกให้ซื้อขายกันโดยไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นจริงๆก็เป็นได้
ในโลกของคริปโตยังสามารถสร้างสินทรัพย์จำลอง (Syntethic Asset) ที่เทียบเคียงกับหลักทรัพย์หรือหุ้นต่างๆได้โดยใช้สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเช่น Ethereum มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันและใช้เทคโนโลยี Oracle ที่เชื่อมต่อข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของราคาจากราคาหุ้นจริงๆมาให้ซื้อขายบน Exchange ในโลกคริปโต แพลตฟอร์มดังกล่าวมีชื่อว่า Mirror Finance และ Synthetix พูดง่ายๆก็คือใครก็ได้ก็สามารถสร้างหุ้นขึ้นมาและสามารถนำไปซื้อขายได้จริง
เห็นได้ว่าโลกของการลงทุนแบบดั้งเดิมได้ถูกเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชนและคริปโตรุกล้ำเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆจากเดิมที่โปรดักต์ถูกแยกออกจากกันชัดเจน จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์บางแห่งอย่างเช่นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เตรียมเปิดการซื้อขายโทเคนดิจิทัลประเภทที่มี Asset Back
DEX ศูนย์กลางซื้อขายแบบไร้ตัวกลาง
ในโลกของ DeFi หรือ Decentralized Finance ยังมีผู้ที่สร้าง Protocol รูปแบบ Decentralized Exchange หรือศูนย์กลางซื้อขายแบบไร้ตัวกลาง แม้จะเป็ผู้สร้างแพลตฟอร์ม แต่ผู้สร้างไม่ได้เข้าไปบริหารจัดการซื้อขายปล่อยให้ผู้ซื้อและผู้ขายทำธุรกรรมกันเอง โดยมีต้นทุนในเรื่องของค่าธรรมเนียมที่ถูกอย่างมากเนื่องจากไม่มีต้นทุนในการบริหารจัดการ
จากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นบ่งบอกว่าธุรกิจตลาดหลักทรัพย์กำลังถูกท้าทายเป็นอย่างมากจากเทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้ทุกคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงโปรดักต์การลงทุนใหม่ๆได้โดยใช้บล็อกเชนและคริปโต เป็นความท้าทายของสถาบันหลักแห่งตลาดทุนอย่างตลาดหุ้นว่าจะปรับตัวอย่างไรต่อการ Disruption ที่เกิดขึ้นนี้
มือใหม่เริ่มต้นลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถเรียนทางออนไลน์ได้แล้ว รายละเอียดคลิ๊กที่นี้