ตลาดหุ้นฮ่องกง กำลังเป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาวจากการที่กำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างจาก Old Economy มาเป็น New Economy และอ้างอิงกับเศรษฐกิจจีนมากขึ้น ถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ต้องจับตาในระยะยาวในฐานะศูนย์รวมของเศรษฐกิจยุค Next Normal
Hang Seng Index ปรับการคำนวนดัชนีใหม่อิงเศรษฐกิจจีนแผ่นดินใหญ่
ก่อนหน้านี้ ดัชนี Hang Seng ซึ่งเป็นตัวชี้วัด ตลาดหุ้นฮ่องกง จะมีน้ำหนักการลงทุนที่อิงกับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินและธนาคารรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกงซึ่งดำเนินกิจการแบบ Old Economy แต่เดือนธันวาคม 2020 ได้มีการคำนวนดัชนีใหม่โดยการเพิ่มสัดส่วนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี สินค้าฟุ่มเฟือยและอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น รวมถึงบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีน้ำหนักมากขึ้น
นอกจากนี้หลังคำนวณดัชนีใหม่แล้วจะมีหุ้นทั้งสิ้น 80 บริษัท แตกต่างจากเดิมที่อยู่ราวๆ 50 บริษัทและครอบคลุมหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยฮ่องกงมากกว่า 75% จากปัจจุบันอยู่ที่ 57.6% เท่านั้น ซึ่งจะทำให้เห็นสภาพโดยรวมของตลาดหุ้นของฮ่องกงมากขึ้น นอกจากนี้ 70% ของรายได้ของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี Hang Seng ยังมาจากประเทศจีน
เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว โดยไตรมาสที่ 1, 2 และ 3 ของปี 2020 จีนเติบโตที่ -6.8%, 3.2% และ 4.8%YOY ตามลำดับ ขณะที่ IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะสามารถเติบโตได้ราว 2% และ 8% ในปี 2020 และ 2021 ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นฮ่องกง
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : รีวิว Interactive Brokers โบรกเทรดหุ้นต่างประเทศที่ดีที่สุด
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : รีวิว eToro แพลตฟอร์มเทรดสินค้าต่างประเทศที่เหมาะสมกับมือใหม่
จุดรวมใหม่ของ Next Normal Economy
การที่ตลาดหุ้นฮ่องกงลดสัดส่วนการอ้างอิงบริษัทใน Old Economy เช่นพลังงาน ธนาคารและสิ่งทอ มาเป็นเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ไบโอเคมีคัล รถยนต์ไฟฟ้าและ Clod Computing รวมถึง Big Data ทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงมีโอกาสที่จะกลายเป็นศูนย์รวมของบริษัททางด้านเทคโนโลยีไม่ต่างอะไรกับตลาด NASDAQ ของสหรัฐฯ
ธุรกิจกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ธุรกิจด้านสุขภาพ และเทคโนโลยี เป็นผู้นำตลาด ต่างมีผลตอบแทนมากกว่า 30% YTD เทียบกับดัชนีโดยรวมที่บวกเพียง 14% ขณะที่ธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และสาธารณูปโภค กลับติดลบ 15-20% และธุรกิจกลุ่มพลังงาน ติดลบกว่า 30%
นอกจากนี้ดัชนีตลาดหุ้นหลักของจีนไม่ว่าจะเป็น China A Share,H Share (ฮ่องกง) และ ADRs (บริษัทจีนที่จดทะเบียนอยู่ในสหรัฐฯ) ได้มีน้ำหนักของหุ้นกลุ่ม New Economy ในสัดส่วนที่สูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและสามารถแซงหน้าบริษัทในกลุ่ม Old Economy มาตั้งแต่ปี 2014
ขณะเดียวกันปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีนยังทำให้บริษัทจีนที่เคยจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯจะกลับมาลิสต์ใน ตลาดหุ้นฮ่องกง เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความพร้อมในการเปิดรับแหล่งเงินทุนจากต่างชาติ ต่างจากตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ที่ยังจำกัดสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติ จึงมีโอกาสที่จะได้ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีของจีนมากขึ้น
โดยยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีของจีนอย่าง Alibaba,Tencent,JD.com ฯลฯ ต่างจดทะเบียนอยู่ในทั้งสหรัฐฯและฮ่องกงแล้ว อนาคตน่าจะมีหุ้นอื่นๆตามมาอีกเช่นหุ้นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของจีนอย่าง นีโอ (NIO) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีการเติบโตสูงที่สุดในปีที่ผ่านมาด้วยผลตอบแทนระดับ 1,200% ซึ่งหากเข้ามาจดทะเบียนในฮ่องกงก็จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตลาดหุ้นฮ่องกงมากยิ่งขึ้น
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง แนะลงทุนหุ้นจีน A-Shares รับแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่
ตลาดไอพีโอที่เฟื่องฟู
แม้หลายปีที่ผ่านมาฮ่องกงจะประสบปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองตลอดจนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด แต่ตลาดหุ้นไอพีโอในฮ่องกงกลับเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก
โดยในปี 2020 เพียงแค่สามไตรมาส มีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนครั้งแรกถึง 91 บริษัท รโดยไอพีโอที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ JD.Com, NetEase และ Yum China ขณะที่ตลอดทั้งปี 2020 ตลาดหุ้นฮ่องกงมีเม็ดเงินระดมทุนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 25% มีมูลค่าระดมทุนรวม 47,000 ล้านดอลลาร์ มีปริมาณการซื้อขายรวมสร้างสถิติใหม่ที่ 29 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกงและเป็นตลาดไอพีโออันดับสองของโลกและศูนย์กลางการระดมทุนของธุรกิจด้านไบโอเทค
โดยในปี 2020 เพียงแค่สามไตรมาส มีบริษัทที่เข้าจดทะเบียนครั้งแรกถึง 91 บริษัท โดยไอพีโอที่มีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก คือ JD.Com, NetEase และ Yum China ขณะที่ตลอดทั้งปี 2020 ตลาดหุ้นฮ่องกงมีเม็ดเงินระดมทุนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 25% มีมูลค่าระดมทุนรวม 47,000 ล้านดอลลาร์ มีปริมาณการซื้อขายรวมสร้างสถิติใหม่ที่ 29 ล้านล้านดอลลาร์ฮ่องกงและเป็นตลาดไอพีโออันดับสองของโลกและศูนย์กลางการระดมทุนของธุรกิจด้านไบโอเทค
ในอนาคตตลาดหุ้นฮ่องกงน่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับหุ้นเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในจีนอย่างแอปพลิเคชั่นเรียกรถโดยสาร Didi ที่มีแผนจะระดมทุนไอพีโอ โดย KPMG ที่ปรึกษาด้านการเงินระดับโลกได้คาดการณ์ว่าตลาดไอพีโอในฮ่องกงจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2021 โดยเฉพาะบริษัททางด้านนวัตรกรรม
โดยรวมแล้วตลาดหุ้นฮ่องกงจึงเป็นตลาดที่น่าสนใจในการลงทุนไม่แพ้หุ้นทางด้านเทคโนโลยีในสหรัฐฯ แรงผลักดันสำคัญมาจากการเป็นแหล่งลงทุนของบริษัทเทคโนโลยีจากจีนที่กำลังมาแรงตลอดจนเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจจีนที่กำลังเติบโต นักลงทุนควรเริ่มต้นศึกษาตลาดนี้เอาไว้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้อย่างดี โดยปัจจุบันมีโบรกเกอร์หลายแห่งที่เปิดให้ลงทุนในฮ่องกงได้แล้ว
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : หุ้นเทคโนโลยีจีน พระเอกแห่งวงการเทคโนโลยีโลก