ANT Group กำลังจะเป็นหุ้นไอพีโอที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ด้วยมูลค่ากว่า 34,500 ล้านดอลลาร์ และจะมีมาร์เกตแคปพุ่งแตะ 3 แสนล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้สูงกว่าโกลดแมนแซคส์ธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลกและ ICBC ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของจีน
ราคาไอพีโอของANT Group ในตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ที่ 80 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ส่วนที่ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้อยู่ที่ 68.80 หยวนต่อหุ้น โดยทั้งสองตลาดได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบันในการสั่งจองหุ้นเป็นจำนวนเกินกว่าความต้องการเป็นจำนวนมาก โดยมูลค่าการสั่งจองซื้อหุ้นไอพีโอANT Group ทั้งตลาดฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้อยู่ที่ 3 ล้านล้านดอลลาร์
ประเด็นที่น่าสนใจคือANT Group (ชื่อเดิมคือ ANT Financial) เป็นเพียงแค่บริษัทเทคโนโลยีการเงิน (Fintech) ไม่ใช่สถาบันการเงินหรือธนาคาร แต่กำลังมีมาร์เกตแคปใหญ่กว่าธนาคารเสียอีก โดยมีพันธมิตรเป็นสถาบันการเงินกว่า 2,000 แห่ง
ธุรกิจหลักของเจ้ามดยักษ์ตัวนี้ก็คือแพลตฟอร์มชำระเงินภายใต้ชื่อ Alipay ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้งานที่แอคทีพต่อเดือน 711 ล้านราย มูลค่าธุรกรรมการเงินของ Alipay ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 17.6 ล้านล้านดอลลาร์ ใหญ่กว่า Visa ที่มีมูลค่า 11.3 ล้านล้านดอลลาร์ และ Mastercard ที่ 6.3 ล้านล้านดอลลาร์
ขณะที่ Alipay สามารถใช้งานได้กว่า 200 ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยแต่ยังจำกัดเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามายังประเทศไทย โดยใช้จ่ายภายในร้าน 7-11 นอกจากบริการชำระเงิน ANT Groupยังมีธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิตและบริการกู้ยืมเงิน โดยมีผู้ที่ใช้บริการกู้ยืมเงินภายใต้แพลตฟอร์มกว่า 500 ล้านราย จากจำนวนประชากรจีนทั้งหมด 1,400 ล้านราย มูลค่าเงินให้กู้ภายใต้แพลตฟอร์มคาดว่าจะแตะ 20 ล้านล้านหยวนภายในปีนี้
รวมถึงธุรกิจการจัดการลงทุน กล่าวคือเงินที่นำไปฝากไว้ในแพลตฟอร์ม Alipay จะถูกนำไปลงทุนต่อทั้งในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นเพื่อให้ผู้ที่ฝากเงินได้รับผลตอบแทน
ที่สำคัญคือยังมีธนาคาร WeBank ซึ่งทำหน้าที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ภายในแพลตฟอร์มของ Alibaba สามารถได้รับเงินกู้โดยพิจารณาจากข้อมูลทางการเงินที่ใช้งานอยู่แล้วและใช้ Big Data และ AI ในการพิจารณาด้วยความรวดเร็ว
เรียกได้ว่าผู้ที่ใช้งาน Alipay แทบจะไม่มีความจำเป็นต้องไปใช้บริการธนาคารแบบดั้งเดิมอีกต่อไปเลยเพราะธุรกรรมทั้งหมดแทบจะทำงานบนมือถือเลยทีเดียว
ปฐมบทแห่งยุคทองของฟินเทค
ขณะที่มาร์เกตแคปรวมถึงกำไรสุทธิของหุ้นธนาคารแบบดั้งเดิมทั่วโลกกำลังลดลงอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมารวมถึงในประเทศไทย แต่มูลค่าธุรกิจของบริษัททางด้านฟินเทคกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีหลายบริษัทที่สามารถเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้แล้ว
แต่ ANT Group กำลังจะเป็นฟินเทคที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งหากได้รับเงินจากการระดมทุนครั้งนี้จะยิ่งเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจไปได้อีกมาก นอกเหนือจากกองทุน Investment Tech มูลค่ากว่า 4ล้านล้านหยวน ที่มีอยู่แล้ว และเราน่าจะได้เห็นธุรกิจใหม่ๆของมดยักษ์ตัวนี้ตามมาอีกในอนาคต
นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้น “ยุคทอง” ของบริษัทฟินเทคทั่วโลกอีกครั้งหลังเคยเกิดกระแสนี้มาแล้วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพราะมดยักษ์ตัวนี้น่าจะใช้กำลังเงินเข้าเทคโอเวอร์กิจการฟินเทคทั่วโลกเข้ามาอยู่ในพอร์ตให้ธุรกิจเติบโตขึ้นอีกซึ่งจะทำให้เราได้เห็นบริษัทฟินเทคอื่นๆแห่กันระดมทุนในตลาดหุ้นตามมาอีกมากมาย
ขณะที่ธนาคารที่ยังคงทำธุรกิจแบบดั้งเดิม ดูแล้วอาการน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งหากไม่งัดกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ขึ้นมาต่อสู้กับฟินเทคที่กำลังเติบโต แม้ก่อนหน้านี้สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมจะมีกำแพงสำคัญที่คอบปกป้องธุรกิจไว้นั่นคือ “กฎหมายและข้อบังคับ”
แต่สิ่งนั้นกำลังจะถูกทำลายไปด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ ตามปรากฎการณ์ที่ได้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีนั้นได้เดินหน้านำกฎระเบียบและการกำกับดูแลไปไกลแล้ว หากผู้ใช้งานทั่วไปสามารถปรับตัวตามทัน (Mass Adoption) กฎระเบียบต่างๆก็แทบจะไม่มีความหมายอีกต่อไป
หลังจากนี้ไปเราน่าจะได้ลงทุนในหุ้นกลุ่มฟินเทคแทนที่กลุ่มธนาคารที่จะค่อยๆถูกลดบทบาทลงหรืออาจจะต้องออกจากธุรกิจไปเลยก็เป็นได้โดยสิ่งที่ได้สร้างมาเป็นร้อยปีไม่ว่าจะเป็นฐานลูกค้าหรือความน่าเชื่อถืออาจไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะเทคโนโลยีกำลังจะมาแทนที่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ก้าวสู่ยุค Megatrends Allocation