สกาย ไอซีที หรือ SKY แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 มีรายได้ 760.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 25.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา หลังเดินหน้าฝ่าสถานการณ์โควิด-19 คว้างานใหญ่ และเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ พร้อมเดินหน้ารุกงานเอกชน เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ปลายปีนี้
นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความมั่นคงปลอดภัย ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 760.1ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 25.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2563 ที่มีรายได้รวม 719.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19.4 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการที่กลุ่มบริษัทได้ส่งมอบสินค้าและบริการติดตั้งให้แก่ลูกค้าในโครงการขนาดใหญ่ อันได้แก่
(1) การขายสินค้าพร้อมติดตั้งให้กับลูกค้าเอกชนสำหรับโครงการต่างๆ ประกอบไปด้วย โครงการจัดหาและติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด สำหรับงานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ลานจอดอากาศยานประชิดอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 และส่วนเชื่อมต่ออุโมงค์ด้านทิศใต้ของสนามบินสุวรรณภูมิ,โครงการจัดซื้อระบบเอ็กซเรย์ตู้คอนเทรนเนอร์สินค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมของกรมศุลกากร,โครงการจัดซื้อพร้อมติดตั้งอุปกรณ์รองรับส่วนต่อขยายโครงข่าย IP Access Network (MPLS Router) ในพื้นที่ภาคกลางของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระยะที่ 2 และระยะที่ 3
(2) การส่งมอบงาน ผลสำเร็จของงานและรายได้จากค่าบำรุงรักษาของโครงการ ประกอบไปด้วยโครงการจัดให้มีบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกลของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (Zone C) กลุ่มที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1, (Zone C) กลุ่มที่ 6 ภาคกลาง 1, (Zone C) กลุ่มที่ 5 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 และโครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิตอล ระยะที่ 2 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, โครงการจัดหาและติดตั้งระบบวิทยุสื่อสารดิจิตอลของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, โครงการระบบตรวจสอบประสิทธิภาพการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Application Performance Monitoring: APM) ของกรมสรรพสามิต, โครงการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพระบบเครือข่ายไร้สาย และระบบบริหารจัดการการฝึกอบรมของกรมสรรพสามิต
“ในไตรมาส 2/2563 แม้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในบางโครงการที่พนักงานจำเป็นต้องมีการเดินทางเข้าปฏิบัติงานในบางพื้นที่ ซึ่งส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานตามแผนงานในบางโครงการ รวมไปถึงต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการอนุมัติงบประมาณการจ่ายเงินของโครงการขนาดใหญ่ที่บริษัทได้มีการส่งมอบงานตั้งแต่ไตรมาส 1/2563 ล่าช้า แต่หากพิจารณารายได้จากการขายจำนวน 200.5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 26.4% ของรายได้รวม มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2563 ที่มีรายได้จากการขาย 192.5 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นถึง 791.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งรายได้จากงานในไตรมาส 2/2563 เป็นการทยอยรับรู้รายได้จากงานในปี 2562 และในช่วงไตรมาส 4/2563 บริษัทเตรียมที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Smart Security Platform ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนให้บริษัทมีรายได้จากการขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายสิทธิเดช กล่าว
ทั้งนี้คาดว่าปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาพรวมธุรกิจและแผนการดำเนินงานของบริษัทจะกลับมาเป็นปกติในเร็วๆ นี้ โดยในไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทมีการชนะการประมูล รวมไปถึงการเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ โดยเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563 ได้ลงนามในสัญญาโครงการให้บริการระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System : CUPPS) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 8,619,899,751.32 บาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2573
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2563 มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (SAL) ในสัดส่วน 46.80% มูลค่ารวม 212,116,284 บาท เพื่อเป็นการต่อยอดธุรกิจในอุตสาหกรรมการบินที่ในปัจจุบันบริษัทมีฐานการให้บริการงานด้านวิศวกรรม งานระบบกล้องวงจรปิด งานระบบออกตั๋วโดยสารเครื่องบิน งานให้บริการ WiFi และงานบริการจัดเก็บรถเข็นกระเป๋า ทั้งในสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต หาดใหญ่ อยู่แล้ว และพร้อมที่จะขยายธุรกิจไปยังการให้บริการภาคพื้นในสนามบินอย่างครบวงจ
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : กรุงศรี ฟินโนเวต ปรับกลยุทธ์เน้นลงทุนสตาร์ทอัพมีศักยภาพหลังวิกฤติโควิด