นักลงทุน ส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นนั่นคือเรื่องของการมี “นิสัย” หรือทัศนคติผิดๆที่มีต่อการลงทุน ไปดูกันว่ามีพฤติกรรมใดบ้างและจะแก้ไขด้วยวิธีใด
อยากซื้อหุ้นที่ราคาต่ำที่สุดและขายในราคาแพงที่สุด
เป็นธรรมดาของ นักลงทุน ที่ต้องการจะได้กำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นมากที่สุด ทำให้เกิดทัศนคติว่าจะต้องเข้าซื้อหุ้นในราคาที่ลงมามากที่สุดและรอขายในราคาที่สูงที่สุด
ในความเป็นจริง ความคิดดังกล่าวเป็นเพียงอุดมคติเท่านั้น เพราะไม่มีใครหรือเครื่องมือทางเทคนิคใดๆที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่าจุดต่ำสุดหรือจุดต่ำสุดของหุ้นตัวนั้นอยู่ที่ราคาอะไร (ยกเว้นคนที่เป็นเจ้ามือหุ้นหรือถือครองหุ้นจำนวนมากอาจสามารถทำราคาได้)
สิ่งที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญเวลาที่จะตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นก็คือความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น ซื้อในราคาที่ไม่ทำ New Low แล้ว ราคาลงมาแนวรับสำคัญในอดีต หรือซื้อตอนที่ราคากำลังจะเป็นขาขึ้น ส่วนตอนขายอาจใช้เครื่องมืออย่างแนว Fibonacci หรือจุดสูงเดิม เป็นต้น
นักลงทุน จึงควรวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นตกลงและนำไปประเมินว่าควรจะถือต่อ ซื้อถัวเฉลี่ยหรือตัดขายขาดทุน มากกว่า “คิดไปเอง” ว่าเดี๋ยวหุ้นก็ขึ้น(มั้ง)
เชิงปัจจัยพื้นฐาน เช่น พื้นฐานกิจการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่,กำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกหรือไม่ ฯลฯ
ส่วนปัจจัยทางเทคนิค เรามาดูว่าหุ้นหลุดเส้นค่าเฉลี่ยสำคัญอย่างเช่น EMA200 วันหรือไม่ หรือหลุดแนวรับสำคัญที่เคยยืนอยู่มาได้ตลอด, MACD ตัด 0 ลง,เกิดเส้นตัด Dead Cross ฯลฯ
หุ้นลงหนัก ไม่ใช่ปัญหา สำคัญที่นักลงทุนรู้สาเหตุที่ทำให้หุ้นลงและรู้วิธีการแก้ไขสถานการณ์หรือไม่ ที่ต้องจำไว้เสมอคือ “อย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัว” ตัดสินว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง
เห็นว่าหุ้นขึ้นมาเยอะแล้วไม่กล้าซื้อ
เป็นความเข้าใจผิดที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดมักจะคิดไปว่าหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้วและยังไม่ได้ซื้อได้ถือว่า “ตกรถ” ไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง หุ้นที่ขึ้นมาเยอะแล้วก็อาจจะขึ้นไปได้อีกก็เป็นได้ หากหุ้นตัวนั้นยังมีราคา (ค่า P/E ) ไม่แพงมาก ยังมี Growth Story ที่ยังเติบโตได้ หรือกำไรสุทธิยังขยายตัวได้ดี
ที่สำคัญคือ “กราฟเทคนิค” หากยังเป็นเพียงแค่การ Breakout ออกจากกรอบไซด์เวย์หรือขาลง หรือราคาหุ้นสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ได้ ในทางเทคนิคยังสามารถซื้อหุ้นตัวนั้นได้ ดังนั้นการที่เราเห็นหุ้นขึ้นมาเยอะมากแล้วในระดับ 100%
หากกราฟเทคนิคยืนยันการเป็นขาขึ้น เช่น ราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย200วัน ,ค่าเฉลี่ยตัดขึ้นเป็น Golden Cross,MACD อยู่เหนือศูนย์,ราคาหุ้นยังไม่ตกเส้นค่าเฉลี่ย วอลลุ่มเพิ่มอย่างมีนัยยะสำคัญ ฯลฯ ก็ยังมั่นใจได้ว่าราคาหุ้นยังคงขึ้นต่อไปได้จนกว่าเครื่องมือทางเทคนิคจะบ่งบอกว่ากำลังจะเปลี่ยนเป็นไซด์เวย์หรือขาลง
มีคำกล่าวว่า สินค้าที่คุณภาพดีย่อมมีราคาสูง หุ้นที่ดีย่อมมีราคาสูงด้วยเช่นกันแต่ถ้ายังคงพื้นฐานที่ดี ราคาหุ้นก็จะมีโอกาสขึ้นไปได้ต่อ ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า “แพงแล้วก็ยังแพงได้อีก”
แต่ถ้าสภาวะตลาดหุ้นยังไปได้ดี เศรษฐกิจเติบโต และกำไรสุทธิของหุ้นตัวนั้นยังเติบโต การรอให้ราคาหุ้นย่อตัวลงโดยไม่สูญเสียแนวโน้มขาขึ้นและเข้าซื้อเพื่อทำกำไรทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ยังมีโอกาสที่จะเป็นไปได้
เห็นว่าหุ้นลงมาเยอะแล้ว รีบเข้าไปซื้อ
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเข้าใจผิดของนักลงทุนเมื่อเห็นหุ้นดังๆที่มีคนเข้าไปแห่เก็งกำไรกันมากๆในช่วงที่ผ่านมาถูกเทขายอย่างหนัก จะเกิดมีความคิดว่า “หุ้นลงมาเยอะแล้ว คงไม่ลงไปมากกว่านี้แล้ว” และรีบเข้าไปซื้อ จนเกิดอาการ “ช้อนหัก” เพราะหากหุ้นที่เป็นขาลงอย่างเต็มตัวแล้วและยังทำ New Low อย่างต่อเนื่อง ในทางเทคนิคยังไม่ใช่จังหวะเวลาในการเข้าซื้อเพราะจะทำให้เกิดผลขาดทุนต่อเนื่อง แต่หากซื้อด้วยปัจจัยพื้นฐานก็ต้องมั่นใจในเครื่องมือที่เลือกและมองเป็นการลงทุนระยะยาวแทน
ซื้อหุ้นจำนวนมากเต็มพอร์ต
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งจะเข้าตลาดหุ้น มักจะมีอาการ “อยากลองของ” ด้วยการซื้อหุ้นจำนวนมาก เพราะต้องการลองวิชาที่ได้เรียนมาหรือฟังจากสื่อต่างๆที่มักจะคอย “เชียร์หุ้น” อยู่เนืองๆ บางคนมีหุ้นอยู่ถึง 20-30 ตัวในพอร์ต บางคนอ้างว่าต้องการกระจายความเสี่ยง
แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่มีหุ้นในพอร์ตมากเกินไปจะทำให้หลุดโฟกัสไม่สามารถติดตามหุ้นในพอร์ตได้ทัน รวมถึงผลตอบแทนที่ได้มาอาจน้อยนิดเพราะมีสัดส่วนการถือหุ้นที่น้อย อีกทั้งยังต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นจำนวนมาก จึงควรซื้อหุ้นในพอร์ตเท่าที่ตัวเราพอจะโฟกัสอยู่ได้ก็พอ
เล่นหลายโปรดักต์มากเกินไป
ผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดหุ้นมีหลากหลายให้เลือก ตั้งแต่หุ้นสามัญ วอแรนท์ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เก็งกำไรอย่าง DW,TFEX นักลงทุน บางคนไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนอะไรจึงเข้าไปเล่นทุกโปรดักต์ในตลาด โดยที่ไม่รู้ว่าแต่ละสินค้ามีความแตกต่างกันอย่างไร นำไปสู่ความสับสนและขาดทุนในที่สุด
ความเป็นจริงคือควรลงทุนในโปรดักต์ที่เหมาะสมกับจริตของตัวเองและความเสี่ยงที่รับได้ตลอดจนแนวทางการลงทุนทั้งแนวพื้นฐานและแนวเทคนิค
มีความคิดติดหัวว่านักลงทุนรายใหญ่ได้เปรียบรายย่อยเสมอ
นักลงทุนรายย่อยมักจะคิดว่าผู้ที่มีเงินมากกว่าหรือนักลงทุนรายใหญ่จะเป็นผู้ที่สร้างผลตอบแทนได้มากกว่าทุกครั้งและสามารถควบคุมราคาหุ้นไว้ได้ ทำให้ไม่สนใจที่จะเริ่มต้นลงทุน ในความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นเช่นนั้นเพราะในตลาดหุ้น ผู้ที่มีเม็ดเงินมากกว่าคือผู้ที่สามารถควบคุมราคาหุ้นได้ก็จริง
แต่นักลงทุนรายย่อยในบางครั้งก็ได้เปรียบนักลงทุนรายใหญ่เช่นกัน เพราะมีเม็ดเงินน้อยกว่าทำให้สามารถลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูงได้ด้วยเงินจำนวนมาก ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ไม่สามารถนำเงินจำนวนมากเข้ามาลงทุนได้ต้องไปลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีอัตราการเติบโตช้ากว่า นี่จึงเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของนักลงทุนรายย่อย
เชื่อว่า หุ้นที่ P/E ต่ำปันผลสูงคือหุ้นที่ดี
หุ้นกลุ่มนี้อาจถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มหุ้นปันผล (Dividend Stock) หรือหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) ซึ่งสามารถลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหนักได้เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มนี้อาจจจะไม่มีการเติบโตหรือเรื่องราวที่น่าสนใจในการลงทุนทำให้ไม่เกิดแรงซื้อของนักลงทุนเข้ามา เช่นอาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นตะวันตกดิน (เช่น สิ่งทอซึ่งมีการแข่งขันสูงแต่กำไรต่ำ) ข้อสังเกตุคือหุ้นกลุ่มนี้มักจะมีสภาพคล่องซื้อขายต่อวันต่ำ เพราะไม่ค่อยมีนักลงทุนสนใจ
การจะซื้อหุ้นให้ได้ผลตอบแทนควรจะลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต (Growth Stock) ควบคู่กันไปด้วย แม้อาจจะซื้อที่ราคาไม่ถูกมาก แต่เราสามารถไปขายในราคาที่แพงกว่าได้
ความคิดที่ว่าหุ้นที่ P/E ต่ำและปันผลสูงคือหุ้นที่ดี จึงเป็นความคิดที่ถูกสำหรับนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงต่ำ แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงอาจจะไม่เหมาะนักเนื่องจากอาจได้รับผลตอบแทนการลงทุนช้าซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นนักลงทุนแนวไหน ชอบความเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำ
อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ P/E ต่ำๆอาจได้รับความสนใจในอนาคตก็เป็นได้หากมีผลประกอบการที่เติบโต มีสตอรี่ทางธุรกิจที่น่าสนใจเข้ามาทำให้กลายเป็นหุ้นเติบโต หากเราเข้าลงทุนถูกจังหวะก็จะได้รับผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยงต่ำ
มีความคิดว่าซื้อหุ้นรับปันผลอย่างเดียวก็พอ
เป็นความคิดที่น่าสนใจถ้าหากสามารถหาหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่องและลงทุนระยะยาวจะมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นในปัจจุบันมีความผันผวนสูง นักลงทุนไม่ควรทิ้งโอกาสในการจับจังหวะการลงทุนให้ถูกเวลา ขายหุ้นในช่วงจังหวะที่ราคาขึ้นไปและรอซื้อหุ้นในเวลาที่หุ้นลงแรงๆจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนทั้งเงินปันผลและส่วนต่างราคาหุ้น (Capital Gain)
สำหรับนักลงทุนที่สามารถถือหุ้นระยะยาวได้ การถือหุ้นเพื่อรับปันผลเพียงอย่างเดียวเป็นความคิดที่ดีแต่ไม่ถูกต้องทั้งหมดเพราะในทางเศรษฐศาสตร์จะมีคำว่า “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” แฝงอยู่เสมอ เวลาที่เราเสียไปกับการถือหุ้นนานๆที่ไม่มีการเคลื่อนไหวอาจทำให้เราพลาดผลตอบแทนที่จะได้จากหุ้นตัวอื่นไป
หากปรับทัศนคติและแก้ไขนิสัยผิดในการเป็นนักลงทุนนี้ได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จและอยู่รอดได้ในตลาดหุ้นจะมีมากขึ้นได้ในที่สุด
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทำไมมนุษย์เงินเดือนเทรดหุ้นได้ดีกว่า Full-Time Trader