NASDAQ ถือเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดของปีนี้และเป็นดัชนีเดียวที่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล (All Time High) ได้แม้จะเกิดวิกฤติโควิด-19 ก็ตาม โดยล่าสุด (มิถุนายน 2563) ได้แตะระดับ 10,000 จุดไปแล้ว
หุ้นเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนดัชนีคงหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่ม Tech Giant อย่างกลุ่ม FAANG (Facebook,Amazon,Apple,Netflix,Google) รวมถึงหุ้นแห่งอนาคตอย่าง TESLA
ช่วงที่ตลาดหุ้นอื่นทั่วโลกพักฐานดัชนี NASDAQ ได้มีสัดส่วนมาร์เกตแคปถึง 1 ใน 3 ของตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากเป็นดัชนีที่มีการฟื้นตัวเร็วที่สุด และหุ้นกลุ่ม FAANG มีสัดส่วนผลกำไรถึง 20% ของดัชนี S&P500 สถิติเหล่านี้บ่งบอกชัดเจนว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้มีการเติบโตอย่างไรและแทบจะเป็นสินค้าที่คนทั้งโลกใช้บริการ
อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นตัวอื่นที่อยู่ในดัชนี NASDAQ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีเช่นกันและเป็นแบรนด์หรือสินค้าที่เรารู้จักกันอย่างดี เพียงแต่อาจใช้งานน้อยกว่าหุ้นในกลุ่ม FAANG เท่านั้นเอง เราลองไปดูกันว่ามีหุ้นตัวไหนบ้าง
ADOBE
เจ้าของซอฟท์แวร์ทำงานด้านกราฟฟิคชื่อดังที่มีมาร์เกตแชร์อันดับหนึ่ง ราคาหุ้นได้พุ่งขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 411 ดอลลาร์ ยืนเหนือช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด โดยได้รับแรงสนับสนุนมาจากยอดขายซอฟท์แวร์ประเภท SAS (Software As A Service) ที่เติบโตขึ้นอย่ามากในช่วงที่ผู้คนทั่วโลกหันมาทำงานที่บ้าน (Work From Home)
ขณะที่แนวโน้มของการทำงานด้านดิจิทัลคอนเทนท์ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โอกาส จึงมีโอกาสที่ ADOBE จะเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้
Saleforces
คนไทยทั่วไปอาจจะไม่รู้จักมากนักเพราะ Saleforces เป็นบริษัทซอฟท์แวร์ที่เน้นลูกค้าองค์กรหรือ B2B เป็นหลัก โดยจัดอยู่ในกลุ่มของ Software As A Service ทำงานบนระบบคลาวด์ การเติบโตของ Saleforces เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตโควิดเสียอีกเพราะกระแสการทำงานบนระบบคลาวด์มีมาอย่างต่อเนื่องหลายปีแล้ว
หลังวิกฤตโควิด โอกาสที่องค์กรธุรกิจจะหันมาให้พนักงานทำงานที่บ้านมากขึ้นรวมถึงการย้ายระบบงานต่างๆไปไว้บนออนไลน์ จึงเป็นโอกาสที่ Saleforces จะเติบโตขึ้นได้อีก
AMD
สำหรับคอไอทีที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ต่างๆย่อมคุ้นเคยกับผู้ผลิตซีพียูซึ่งใช้ขับเคลื่อนอุปกรณ์ต่างๆอย่างอินเทล แต่จริงแล้วยังมีผู้เล่นอีกรายนั่นคือ AMD ซึ่งแม้จะเป็นผู้เล่นอันดับสอง แต่ก็มีสตอรี่ในการเติบโตเช่นกันโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกมส์ ซึ่งสะท้อนไปยังราคาหุ้นที่เป็นขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2018
เช่นเดียวกับการเป็นผู้ผลิต GPU แม้ว่า AMD จะยังเป็นผู้เล่นอันดับสองรองจาก NVIDIA แต่ AMD ใช้กลยุทธ์ที่มุ่งจับตลาดที่ราคาต่ำกว่าซึ่งยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโต
สรุปคือการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมส์และ E-Sport จะช่วยหนุนธุรกิจของ AMD ให้เติบโตต่อไปได้
SE
แม้ว่าหลังเข้าไอพีโอไปแล้วหุ้น SEA จะไม่ Perform ดีเท่าไรแต่หลังจากต้นปี 2020 เป็นต้นมาราคาหุ้นได้เป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเกิดวิกฤตโควิดแต่ก็ส่งผลกระทบต่อหุ้น SEA ระยะสั้นเท่านั้น
หากเราพิจารณาจากธุรกิจที่ SEA ลงทุนอยู่คงไม่แปลกใจที่ราคาหุ้นจะเป็นขาขึ้นต่อเนื่องเพราะมีธุรกิจ E-Commerce อย่าง Shoppe (ล่าสุดเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศไทยไปแล้ว) รวมถึงธุรกิจ E-Sport อย่าง Garena และธุรกิจการเงินอย่าง Airplay เพียงแค่ธุรกิจ E-Commerce เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะผลักดันการเติบโตของ SE ได้แล้ว
โดยรวมแล้วยังมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใน NASDAQ อีกมากที่เติบโตก่อนและหลังวิกฤตโควิด อาจจะเป็นสินค้าที่เราใช้เป็นประจำอยู่แล้วหรือบางแบรนด์อาจจะเติบโตอย่างเงียบๆโดยที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ รวมๆแล้วนี่คือโอกาสในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยีที่ดีในเวลานี้
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ชี้เป้าลงทุนในหุ้นผู้ผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19