วายแอลจี คาดหลังคลายล็อกดาวน์เฟส 3 พฤติกรรมซื้อทองคำออนไลน์จะยังคงคึกคักต่อเนื่อง เพราะกลายเป็น New Normal ของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะที่การซื้อผ่านหน้าร้านก็จะคึกคักไม่แพ้กัน เพราะบางส่วนยังชื่นชอบการไปเลือกซื้อเอง
พร้อมมองหลังส่วนต่างราคาซื้อ-ขายปรับลดลงมาสู่ระดับปกติที่ประมาณ 100 บาท จะหนุนนักลงทุนระยะสั้นกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะเพิ่มโอกาสทำกำไร มองทิศทางทองคำระยะสั้นยังมีแรงขายสลับออกมาเมื่อใกล้ถึงจุดสูงสุดของปีที่ 1,765-1,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 26,450-26,050 บาท เน้นกลยุทธ์ขึ้นขาย ลงซื้อ พร้อมกำหนดจุดตัดขาดทุน
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า หลังการคลายล็อกดาวน์เฟส 3 ตลาดทองคำมีแนวโน้มจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แม้การระบาดของ COVID-19 จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนไทยเกี่ยวกับการซื้อทองคำ ไปสู่การซื้อทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากยิ่งขึ้น เกิดความต้องการจัดส่งทองคำแบบเดลิเวอรี่ส่งตรงถึงบ้านก็พุ่งสูงขึ้น ซึ่งถือเป็น New Normal ของวงการทองคำ
อย่างไรก็ดี เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ชาวไทยบางส่วนจึงยังนิยมไปเลือกซื้อ หรือ ขายทองคำที่ร้านทองด้วยตนเอง ดังนั้นจึงมั่นใจว่าภาพรวมการซื้อ-ขายทองคำจะคึกคักขึ้นทั้งในแง่ของออนไลน์และออฟไลน์ ควบคู่กันไป
นอกจากนี้ในช่วงที่ทั่วโลกทำการล็อกดาวน์นั้นส่งผลให้การขนส่งและการซื้อขายทองคำได้รับผลกระทบ จึงทำให้ส่วนต่างราคาซื้อ-ขายทองคำในประเทศเพิ่มขึ้นสูงเป็น 300 บาทต่อบาททองคำ จึงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักลงทุนระยะสั้น (Day Trade) ที่ต้องรอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำนานยิ่งขึ้นจึงจะสามารถขายทำกำไรได้ ซึ่งการถือนานขึ้นย่อมจะส่งผลต่อการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนไปด้วย
ดังนั้นเมื่อส่วนต่างราคาซื้อขายกลับมาเป็นปกติ จึงมีแนวโน้มจะดึงดูดนักลงทุนทองคำประเภท Day Trade ให้กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ทำให้คาดว่าปริมาณการซื้อขายทองคำเพื่อการลงทุนอาจเพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทองคำมีกรอบการแกว่งตัวกว้างขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่นักลงทุนสามารถเข้ามาทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้
อย่างไรก็ดีในส่วนของปัจจัยพื้นฐานนั้น แม้ยังมีปัจจัยที่หนุนราคาทองคำในระยะยาวยังคงอยู่ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและการคลังทั่วโลก ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงปัจจัยระยะสั้นอย่างเหตุจลาจลเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายจอร์จ ฟรอยด์ แต่ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้ ท่ามกลางความหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะพลิกฟื้นหลังจากทั่วโลกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งเป็นปัจจัยกดดันให้ทองคำถูกแรงขายทำกำไรสลับออกมาเป็นระยะ
จะเห็นได้ว่าเมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้บริเวณระดับสูงสุดของปีนี้ มักจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาทุกครั้ง ดังนั้น YLG จึงยังคงแนะนำให้นักลงทุนแบ่งทองคำออกขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับสูงสุดของปีนี้ บริเวณ 1,765-1,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 26,450-26,050 บาทต่อบาททองคำ หากผ่านได้ค่อยถือต่อไปรอขายบริเวณแนวต้านโซน 1,788-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 26,800-27,900 บาท ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของช่วงเดือน ก.พ. ,ก.ย. และ ต.ค. 2555
ขณะที่การเข้าซื้อ อาจรอราคามีการปรับตัวลดลงและไม่หลุดแนวรับ เบื้องต้นคาดการณ์แนวรับแรกบริเวณ 1,690-1,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 25,300-25,150 บาทต่อบาททองคำ (ราคาไทยคำนวณจากค่าเงินบาท ณ ระดับ 31.60 บาท/ดอลลาร์) ที่สำคัญนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการไล่ซื้อพร้อมกำหนดจุดตัดขาดทุนประกอบการลงทุนทุกครั้ง
โดยนักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ วายแอลจี ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888 รวมถึงสามารถติดตามบทวิเคราะห์ อัพเดทข่าวสารที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ข่าวโปรโมชั่น สัมมนา และข่าวประชาสัมพันธ์ของ YLG ผ่านทางหลากหลายช่องทาง อาทิ www.ylgprecious.co.th และ https://www.facebook.com/YLGGroup
ข่าวที่เกี่ยวข้อง : วิเคราะห์ “ท่องเที่ยวไทย” ยากที่จะฟื้นตัวกลับสู่สภาพเดิม