หุ้น

หุ้นโตช้าปันผลสูง vs หุ้นเติบโตขี้เหวี่ยง

โดย SM1984

หุ้น เหมือนกันแต่ไม่ใช่หุ้นเหมือนกัน ตลาดหุ้นนั้นประกอบด้วยหุ้นของบริษัทต่างๆ กว่า 800 บริษัท แต่ละตัวนั้นต่างก็มีลักษณะนิสัยของหุ้นที่ต่างกันด้วย เราอาจเคยเห็นหุ้นบางตัวที่ราคาเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่หวือหวา ขณะที่บางตัวขึ้นเป็นเด้งลงเป็นเด้ง อาจเรียกได้ว่า พฤติกรรมของราคาหุ้นในตลาดอาจแบ่งได้เป็นสองแบบ คือหุ้นโตช้าปันผลสูง​ และหุ้นเติบโตขี้เหวี่ยง

คำถามคือ สำหรับนักลงทุนทั่วๆ ไป หรือเพิ่งเริ่มลงทุนมาไม่นานนัก ควรจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดีล่ะ

หุ้นโตช้าปันผลสูง

หุ้นกลุ่มนี้มักจะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่นีบหมื่นหรือแมนล้านบาทไปแล้ว หรืออาจเป็นหุ้นขนาดกลางในอุตสาหกรรมที่ไม่ค่อยเติบโตมากนัก ลักษณะสำคัญคือ ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้มักจะไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากขนาดของธุรกิจที่ใหญ่แล้ว รวมถึงอุตสาหกรรมที่อาจไม่ได้เติบโตสักเท่าไหร่ ราคาหุ้นจึงไม่ได้เคลื่อนไหวทีละหลายๆ เปอร์เซ็นต์มากนัก และบริษัทเหล่านี้มักไม่ค่อยมีโครงการลงทุนในอนาคตเสียเท่าไหร่ ผลกำไรที่มำได้ในแต่ละปีจึงถูกจ่ายคืนให้กับนักลงทุน ในรูปของเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง

หุ้นเติบโตขี้เหวี่ยง

ส่วนหุ้นกลุ่มนี้ ลักษณะสำคัญคืออยู่ในอุตสาหกรรมที่คนในตลาดคาดหวังว่ามันจะโตไปได้อีก หรือเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะถูกสะท้อนออกมาด้วยราคาที่เหวี่ยงขึ้นลงแบบรุนแรง หุ้นอาจลงไป 50% ได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันก็อาจขึ้นไป 5 เด้งได้โดยง่าย และส่วนใหญ่แล้วจะจ่ายเงินปันผลน้อย (หรือไม่จ่ายเลย) เพราะต้องเก็บเงินปันผลไว้ลงทุนต่อในอนาคต

แล้วหุ้นแบบไหนดี?

ภาพส่วนใหญ่ที่เราเห็นตามสื่อตอนนี้ มักจะให้ความสนใจไปกับหุ้นเติบโตที่มีราคาปรับตัวขึ้นไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะราคาหุ้นที่ขึ้นได้ขนาดนั้นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจไม่น้อยเลย นั่นเป็นข้อดีของหุ้นเติบโต แต่เราต้องคิดต่อว่า หุ้นเติบโตเหล่านั้นก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ขึ้นเร็วก็ลงเร็ว หากเข้าผิดจังหวะหรือวิเคราะห์หุ้นผิด ก็อาจทำให้นักลงทุนสูญเงินได้

ส่วนหุ้นปันผลสูง ข้อดีก็คือนักลงทุนจะได้เงินปันผลต่อปีในอัตราสูงมากเมื่อเทียบกับราคาที่เข้าซื้อ แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของหุ้นปันผลสูงว่าราคาอาจไม่ไปไหนมากนัก แต่ถ้าถือในระยะเวลาที่ยาวมากๆ ปันผลที่ได้รับในแต่ละปี รวมๆ กันแล้วก็อาจคิดเป็นผลตอบแทนหลักร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคาที่เข้าซื้อ

ดังนั้น หุ้นทั้งสองแบบจึงมีข้อดีทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าความต้องการของนักลงทุนคืออะไร อยากได้ผลกำไรมากๆ ยอมรับความเสี่ยงได้มาก หุ้นเติบโตก็เป็นคำตอบ หรือถ้าต้องการรายได้ประจำ ไม่อยากได้ราคาที่ผันผวนมากนัก หุ้นปันผลสูงก็เป็นคำตอบ

ไม่ว่าจะเป็นหุ้นแบบไหนก็สร้างกำไรให้กับนักลงทุนได้ ขอแค่เราเลือกที่เหมาะกับเราก็พอครับ

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : เจาะธุรกิจควบกระแสฮอต New Normal – Mega Trends

Related Posts