ไตรมาสแรกของปีนี้ถือเป็นช่วงเวลาสามเดือนที่เลวร้ายที่สุดของโลกการเงิน จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สินทรัพย์การลงทุนทั่วโลกถูกเทขายอย่างหนักจนสร้างสถิติใหม่ (ที่ไม่น่าจดจำซักเท่าไหร่) ตลาดหุ้น ทั่วโลกเข้าสู่สภาวะหมีอย่างเต็มตัว
อ้างอิงจาก CNBC ตลาดหุ้น สหรัฐฯได้สิ้นสุดการเป็นตลาดขาขึ้น (Bullish) ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์กว่า 11 ปี ในวันที่ 12 มีนาคม 2563 ราคาน้ำมันร่วงแรงจนทำจุดต่ำสุดในรอบ 17 ปี และอื่น ๆ อีกมากมาย
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯอย่าง Dow Jones ที่ -23.2% และ S&P500 ที่ -20% รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปที่ติดลบเฉลี่ยประมาณ 20% โดยตลาดหุ้นสเปนติดลบมากที่สุด 30% และที่แย่ที่สุดคือน้ำมันดิบ WTI ที่ -67% YTD
ตลาดหุ้นจีน Shanghai Composite ถือว่าทำผลงานได้ดีโดยติดลบเพียงแค่ 10% หากมองว่าเป็นประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นติดลบ 20% เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 ขณะที่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในไตรมาสแรกของปีนี้ก็คือทองคำที่ทำได้ +4%
ขณะที่ดัชนี SET Index ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาถึง 31.14% จากราว 1,600 จุด มาปิดที่ 1,087.82 จุด เมื่อวันที่ 30 มี.ค.กลุ่มปิโตรเคมี ลดลง 46% กลุ่มสื่อ ลดลง 44.13% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ลดลง 41.78% ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ติดลบน้อยที่สุดคือ กลุ่มเทคโนโลยี ติดลบ 17.77%
ตลอดไตรมาสแรกที่ผ่านมานั้น นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย 1.13 แสนล้านบาท เทียบกับปีก่อนทั้งปี ซึ่งเทขายไป 4.5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ กลุ่มสื่อสารถือเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวได้เร็วที่สุดโดยบวกขึ้น 8.6% ในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นำมาโดยหุ้นกลุ่มสื่อสารทั้งสามตัวคือ ADVANC DTAC TRUE
แนวโน้มต่อไปจะเป็นอย่างไร??
หากวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิค SET Index ทำจุดต่ำสุดไว้ที่ระดับ 966 จุด ใช้จุดนั้นเป็นแนวรับสำคัญ อย่างไรก็ตามแนวโน้มหลักของ ตลาดหุ้น ไทยยังถือว่าเป็นขาลง
![ตลาดหุ้น ไทย](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/04/Screen-Shot-2563-04-01-at-14.56.23-1024x434.png)
มุมมองจาก บล.ทิสโก้ ยังคงกลยุทธ์การทยอยสะสมหุ้นแบบแบ่งซื้อในช่วงตลาดผันผวน แต่ในขณะเดียวกัน ช่วงตลาดรีบาวด์ก็ควรขายล็อกกำไรไว้บ้าง รอย่อตัวซื้อคืน หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนเมษายน คือ BAM, BJC, DTAC, PTTEP, RBF, SCC และ TVO ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,070 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,010-1,020 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,165-1,170 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,190 จุด
แม้ว่าความไม่แน่นอนยังมีอยู่ แต่ก็มีลุ้นมากขึ้นว่าดัชนีหุ้นไทยอาจผ่านจุดต่ำสุดของภาวะหมีรอบนี้ไปแล้วที่บริเวณ 970 จุด หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) ที่ 1.1-1.2 เท่า ซึ่งเป็นระดับเทียบเคียงเส้นแนวโน้ม P/BV ระยะยาวในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 และวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 ที่บริเวณ 0.5-0.6 เท่า และ 0.8-0.9 เท่า ตามลำดับ ผสานกับหุ้นไทยมีตัวช่วยเข้ามาพยุงตลาดมากขึ้น เช่น การประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียน ที่นับตั้งแต่ต้นปีนี้มีวงเงินซื้อคืนรวมมากกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
กองทุนเพื่อการออมระยะยาว (SSF) แบบพิเศษที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินทยอยไหลเข้าตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (เมษายน – มิถุนายน) และประเด็นสุดท้ายคือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตรการชั่วคราวเพื่อควบคุมความผันผวนของตลาด เช่น การปรับเกณฑ์การขายชอร์ตจากราคาไม่ต่ำกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย เป็นราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย, การปรับเกณฑ์ Ceiling & Floor และปรับเกณฑ์การหยุดการซื้อขายเป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker) จาก 2 ระดับ เป็น 3 ระดับ
ทางด้านทองคำ ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1448 เหรียญและมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แม้จะมีการย่อตัวแรงแต่ก็มีแรงซื้อกลับ แสดงว่ามีนักลงทุนมองว่าเป็น Safe Haven ที่น่าลงทุนในภาวะวิกฤต ยังมีโอกาสที่จะกลับไปทดสอบจุดสูงสุดที่ 1704 เหรียญได้
![ตลาดหุ้น ทองคำ](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/04/Screen-Shot-2563-04-01-at-15.04.00-1024x432.png)
ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ลงมาทำจุดต่ำสุดหลุดระดับ 20 เหรียญต่อบาร์เรลที่ 19.20 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 17 ปี แนวโน้มหลักยังเป็นขาลง ยังไม่สามารถลงทุนได้ในตอนนี้
![ตลาดหุ้น น้ำมัน WTI](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/04/Screen-Shot-2563-04-01-at-15.04.57-1024x436.png)
ปิดท้ายที่ดัชนี Dow Jones ตลาดหุ้น สหรัฐฯลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 18138 จุดและมีการฟื้นตัวขึ้น ระยะสั้นแนวรับ 20843 หากรับอยู่ได้ก็มีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นไปได้
![ตลาดหุ้น Dow Jones](https://riccowealth.co/wp-content/uploads/2020/04/Screen-Shot-2563-04-01-at-15.12.46-1024x431.png)
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : Economic Shutdown วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีต้นเหตุมาจาก COVID-19