Wealthtech

Wealthtech กับความมั่งคั่งของคนยุคดิจิทัล

โดย SM1984

หนึ่งในปัญหาที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคนไทยในอีกประมาณ 6 ปีข้างหน้าหรือ 2568 นั่นคือไทยจะมีประชากรในวัยสูงอายุเกินกว่า 20% อยู่ที่ประมาณ 21.2% จากตัวเลขนี้ไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) โดยสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นอยู่ในตอนนี้ แต่ที่น่ากังวลคือคนไทยส่วนใหญ่ “ไม่พร้อม” กับการเกษียณโดยเฉพาะสถานะการเงินส่วนตัว

          ข้อมูลจากสำนักงาน ก.ล.ต บอกว่าปัจจุบันนี้คนไทยที่อยู่ในภาคแรงงานหรือพูดง่ายๆว่ามีรายได้เป็นของตัวเองอยู่ที่ 39 ล้านคน จากทั้งหมด 66 ล้านคน จำนวนนี้ 11 ล้านคนมีรายได้อยู่ในระดับชนชั้นกลาง 11 ล้านคน แต่มีอัตราการเข้าถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ต่ำมาก

          ปัจจุบันคนไทยเป็นเจ้าของบัญชีซื้อขายหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์ 1.6 ล้านบัญชี แต่ในความเป็นจริงคือมีจำนวนบัญชีที่ซื้อขายเป็นประจำอยู่เพียงแค่ 200,000 บัญชีโดยประมาณ และเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนรวมอยู่ที่ 3 ล้านบัญชี (เดาได้ว่าส่วนใหญ่คือกองทุน LTF) และบัญชีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) อยู่ที่ 3 ล้านบัญชี แต่น่าจะเป็นส่วนของสวัสดิการที่บริษัทมีให้มากกว่า และมีข้าราชการที่ลงทุนผ่านกองทุน กบข. 1 ล้านบัญชี รวมแล้วคนไทยเข้าถึงตลาดทุนเพียง 8.6 ล้านคน (บางส่วนน่าจะเปิดพอร์ตซ้ำกันด้วย)

          แล้วที่เหลือคือหายไปไหน ทำไมถึงไม่ลงทุน? จะขอข้ามคำถามนี้ไปหาทางแก้ไขกันเลยก่อนที่คนไทยส่วนใหญ่จะเกษียณโดยไม่มีเงินเก็บเลยสักบาทเดียว เครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้คนไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุได้อย่างมั่นใจนั่นคือการเข้าถึงเทคโนโลยีด้านการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคลหรือ Wealthtech

          ก่อนหน้านี้ สตาร์ทอัพสายการลงทุนจะถูกจัดให้อยู่ในหมวดหนึ่งของฟินเทคเท่านั้น จะเรียกว่า Wealth Management หรือ Retail Investment ก็แล้วแต่จะเรียก ทว่าตอนนี้ฟินเทคกลุ่มดังกล่าวถูกยกระดับขึ้นมาให้มีหมวดหมู่เป็นของตัวเองมาได้สองสามปีแล้วในชื่อ Wealthtech แสดงว่าเทคโนโลยีดังกล่าวได้รับการยอมรับว่ามีความสำคัญและมีโอกาสในการเติบโตสูงในระดับเดียวกับพวก Biotech,Healthtech,Foodtech ฯลฯ เลยทีเดียว

ผู้สูงอายุกำลังเป็นวาระของโลก

          ไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่คนทั้งโลกกำลังประสบกับวาระเรื่องของจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่าจำนวนผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปภายในปี 2564 อีกแค่ 2 ปีจะแตะระดับ 20% ของจำนวนประชากรทั้งโลกและปี 2578 จะแตะระดับ 30% ผู้คนเหล่านี้กำลังมาพร้อมกับภาระในการเลี้ยงดูของผู้เป็นทายาทหรือลูกหลาน ซึ่งมีคำศัพท์เรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า Sandwich Generation ซึ่งต้องเลี้ยงดูทั้งพ่อแม่ที่ชราและลูกที่เกิดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน ถือได้ว่าหนักหนามาก

          เทคโนโลยีการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการแก้ไขปัญหานี้เพราะด้วยเทคโนโลยีทำให้การลงทุนสามารถเข้าถึงคนส่วนมากได้โดยใช้ต้นทุนไม่สูงมากนักและสตาร์ทอัพเองก็สามารถ Scale Up ธุรกิจได้อย่างรวดเร็วแทนที่จะต้องเปิดสำนักงานให้คำปรึกษาการเงินส่วนบุคคล การทำธุรกรรมต่างๆสามารถจบลงได้ด้วยแอพๆเดียว

คอนเซบท์ต้องง่าย เร็ว ใช้เงินน้อย

          แม้จะมีการแบ่งสายของ Wealthtechออกไปหลายสาขา แต่หลักๆแล้วจะต้องมีคอนเซบท์ไม่หนีไปจากนี้มากนักคือ

          เริ่มด้วยเงินลงทุนไม่สูงมาก..Wealthtech ออกมาตอบโจทย์ผู้ที่ไม่ได้มีเงินทุนเริ่มต้นสูงมากนัก เพราะถ้าต้องเริ่มด้วยเงินที่มากอาจทำให้นักลงทุนหน้าใหม่มองข้ามบริการไปและบางรายอาจพอใจกับการเริ่มต้นด้วยเงินไม่มากก่อนถึงตัดสินใจเพิ่มเงินลงทุน

เข้าถึงง่ายและจบในที่เดียว..แทนที่จะต้องเดินทางไปที่สาขาธนาคารและใช้เอกสารกระดาษมากมายกับลายเซ็นต์หลายจุด นักลงทุนจะต้องใช้เพียงไม่กี่ขั้นตอนก็สามารถเปิดพอร์ตและเริ่มลงทุนผ่านเวบไซท์หรือแอพพลิเคชั่นได้ทันที เพราะการเข้าถึงบริการที่ยากและซับซ้อนจะทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ไม่สนใจที่จะเริ่มใช้บริการ

          ค่าธรรมเนียมต่ำ..แนวโน้มของธุรกิจ Wealth ในยุคดิจิทัล ค่าธรรมเนียมให้บริการจะต้องถูกลงเรื่อยๆหรืออาจจะไม่มีค่าธรรมเนียมเลย เพราะหากตัดส่วนของต้นทุนที่เป็นบุคลากรทางการเงินที่มีเงินเดือนสูงออกไปและค่าใช้จ่ายในเรื่องของสาขา ค่าธรรมเนียมย่อมจะต้องถูกลง

ลงทุนให้อัตโนมัติ..ที่ผ่านมาหากต้องการมีผู้ให้คำแนะนำการเงินการลงทุนและมีผู้นำเงินไปลงทุนให้อัตโนมัติจะต้องมีเงินลงทุนระดับล้านบาทขึ้นไป แต่ด้วยเทคโนโลยีทำให้ข้อจำกัดในอดีตหายไป คนที่มีเงินไม่มากนักก็มีสิทธิได้รับบริการในมาตราฐานที่ไม่แพ้คนที่มีเงินเยอะเช่นกัน

          Wealthtechยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตสูงในช่วงที่ผ่านมา แม้อาจจะไม่เป็นที่พูดถึงมากนักเทียบกับสตาร์ทอัพกลุ่มอื่นๆเพราะเรื่องของการลงทุนมันไม่ค่อยจะดู Sexy อยู่แล้ว ภาพออกจะไปทางดูเคร่งเครียดด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็มีสตาร์ทอัพสายนี้ที่สามารถไปถึงระดับ Unicorn ได้สำเร็จเมื่อสองปีที่แล้วนั่นคือ Robinhood ซึ่งเป็นแอพที่สามารถเทรดหุ้นในตลาดสหรัฐฯได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม (แลกกับ Spread ราคาที่ห่าง)  บริษัทฯนี้มีแผนจะไอพีโอในเร็วๆนี้ด้วย

          หาก Wealthtech สามารถเติบโตไปได้ ปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินของคนในยุคดิจิทัลก็จะหมดไป คนเหล่านี้ก็จะเข้าถึง Aging Society ได้อย่างมั่นใจไม่สร้างภาระให้ตัวเองและคนรอบข้าง

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : 5 วิธีเก็บเงินให้ปลอดภัยจากตัวเอง

Related Posts