ปี 2018 ดัชนี SET Index ปรับตัวลดลงประมาณ 10% ขณะที่ผลงานของ กองทุนรวม หุ้นไทย (Equity Fund) รวมถึงกองทุน LTF ต่างมีผลตอบแทนติดลบทั้งหมด แล้วแต่ว่ากองไหนจะติดลบมากกว่าหรือน้อยกว่า
สำหรับผู้ที่ลงทุนใน กองทุนรวม มาเป็นระยะเวลาหนึ่งอาจสังเกตุได้ว่าในภาวะที่ตลาดหุ้นเป็นไซด์เวย์หรือขาลง กองทุนรวมส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะสร้างผลตอบแทนเอาชนะภาพรวมตลาดได้เลย จะมีเพียงแค่ปีที่ตลาด Bullish เท่านั้นที่จะได้เห็น Return ของกองทุนรวมที่ชนะตลาดได้ เป็นเพราะอะไรลองไปดูเหตุผลกันจากโครงสร้างการทำงานของกองทุนรวมในประเทศไทย
ข้อกำหนดต้องถือหุ้นในพอร์ต 80%
ตามกฎการลงทุน กองทุนรวมหุ้นไทยและกองทุน LTF จะต้องคงสถานะพอร์ตการลงทุนถึง 80% ของพอร์ตทั้งหมดในหนึ่งปี หมายถึงจะต้องมีหุ้นถึง 80% อยู่ในพอร์ต แม้ในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่อำนวย นี่คือข้อจำกัดที่ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมยากที่จะเอาชนะตลาด Return ของกองทุนจึงไม่ได้หนีไปจากภาพรวมของ SET Index มากนัก
เลือกหุ้นโดยใช้ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ด้วยกฎที่มีอยู่ ผู้จัดการกองทุนไม่สามารถที่จะซื้อๆขายๆหุ้นในพอร์ตได้บ่อยมากนักและต้องใช้ปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์เป็นหลัก แต่ผู้ที่อยู่ในตลาดหุ้นจะรู้ดีว่าไม่เสมอไปที่หุ้นพื้นฐานดีราคาจะต้องเป็นขาขึ้นเสมอไป บ่อยครั้งที่หุ้นพื้นฐานดีแต่ราคาเป็นขาลง และบางครั้งหุ้นพื้นฐานไม่ดีแต่ราคากลับขึ้น ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีอุปสรรคในการบริหารพอร์ตพอสมควร
มีหุ้นให้เลือกไม่มากนัก
แต่ละบลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน) ต่างมี Universe ในการคัดเลือกหุ้นที่จะลงทุนแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ไม่หนีไปจากกันเท่าไรคือหุ้นใน SET50 SET100 sSET และถ้าอ่านผลการดำเนินงานของกองทุนรวมจริงๆจะซื้อหุ้นกระจุกอยู่เพียงแค่ 10 ตัวแรกของ SET50 เท่านั้นซึ่งหุ้นขนาดใหญ่อย่าง PTT PTTEP SCC KBANK ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นลงตามภาวะตลาด
ต้องกระจายการลงทุนไม่สามารถโฟกัสได้
การจะสร้างผลตอบแทนให้อยู่ในระดับสูงจำเป็นที่จะต้องโฟกัสกับหุ้นเพียงแค่ไม่กี่ตัวในพอร์ต เพราะหากกระจายถือหุ้นหลายตัวเกินไป แม้จะราคาปรับตัวขึ้นมาแต่ก็แทบไม่ส่งผลต่อพอร์ตรวมมากเท่าไร แต่ด้วยกฎเกณฑ์ทำให้กองทุนรวมไม่สามารถให้น้ำหนักกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากเป็นพิเศษหรือถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัวในพอร์ตได้ ต่างจากเทรดเดอร์ทั่วไปที่มีอิสระในการลงทุนจะมีหุ้นกี่ตัวก็ได้
เครื่องมือที่มีอยู่จำกัด
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ก็เพราะมีเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย เช่น การใช้ตราสารอนุพันธ์อย่าง Futures มาใช้ Leverage หรือ Hedging แต่กองทุนรวมมีเพียงเครื่องมือเดียวคือซื้อหุ้นรอให้ราคาปรับตัวขึ้นไม่สามารถ Short หุ้นหรือใช้อนุพันธ์ได้
คู่แข่งที่หน้าตักสูสี
ปัจจุบันนักลงทุนบุคคลรายใหญ่บางคนมีขนาดพอร์ตที่ใหญ่ใกล้เคียงกับกองทุนรวมขนาดเล็กบางกองแล้ว และยังมี Prop Trade ของโบรกเกอร์ที่มีนโยบายเทรดในหุ้น SET100 ซึ่งสองกลุ่มนี้มักจะเทรดด้วยความเร็วและอาศัยกราฟเทคนิคเป็นหลัก ทำให้กองทุนรวมที่มีข้อจำกัดหลายอย่างอยากที่จะไปแข่งกับสองกลุ่มดังกล่าวในสนามเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม กองทุนรวม ยังเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่หรือผู้ที่เริ่มสนใจนำเงินเก็บมาลงทุนและควรจะมองการลงทุนผ่านกองทุนรวมเป็นภาพระยะยาวมากกว่าไปโฟกัสที่ผมตอบแทนระยะสั้น เพราะหากวัดกันในระยะเวลา 3-5 ปี กองทุนรวมยังเป็นเครื่องมือที่สร้างผลตอบแทนได้ดี อย่างน้อยก็ชนะอัตราเงินเฟ้อได้
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : เทคนิคการอ่านกราฟแท่งเทียน (Candle Stick)