หุ้นโรงไฟฟ้า ในปี 2562 ทำผลงานได้เป็นอย่างดีโดย 3 หุ้นในกลุ่มอย่าง GULF, BGRIM และ GPSC ติดเข้ามาใน 10 อันดับหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET100 เนื่องจากนักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นจากการมี Backlog แน่นอน, การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ, นโยบายรัฐเปิดทางให้ยื่นคำร้องเปิดโรงไฟฟ้าขนาดกลางเพิ่มและการเริ่มลงทุนพลังงานทดแทนมากขึ้น
ปี 2562 นับว่าเป็นปีทองสำหรับกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าก็ว่าได้ เนื่องจากมี 3 หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าเข้ามาติดในโผ 10 หุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET100 โดยเข้ามาติดในโผดังกล่าว 3 จาก 10 ถือว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาติด 10 อันดับหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET100 มากที่สุดอีกด้วย
สำหรับ 3 หุ้นโรงไฟฟ้าที่เข้ามาติดอยู่ในโผหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET100 ในปี 2562 ประกอบด้วย บริษัทกัลฟ์เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน)หรือ GULF ซึ่งปี 2562 ให้ผลตอบแทน 98.16% รั้งอันดับ 3 หุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET100
บริษัทบี.กริมเพาเวอร์จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ซึ่งปี 2562 ให้ผลตอบแทน 95.28% รั้งอันดับ 4 หุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET 100 ในปี 2562 และบริษัทโกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี่จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC โดยในปี 2562 ให้ผลตอบแทน 40.60% รั้งอันดับ 8 หุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET 100 ในปี 2562
ส่วนอันดับ 1 หุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดของ SET 100 ในปี 2562 คือ บริษัทคาราบาวกรุ๊ปจำกัด (มหาชน) หรือ CBG ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 174.80%
สาเหตุที่กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าทำผลงานได้เป็นอย่างดีในปี 2562 เนื่องจากปี 2562 เป็นปีที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวน และกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าถือว่าเป็นกลุ่มหุ้นปลอดภัยในช่วงภาวะเศรษฐกิจผันผวน โดยกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดกลางอย่าง GULF และ GPSC ถือว่าได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากคาดว่าผลตอบแทนในระยะกลางและระยะยาวจะทำผลงานได้ดี
นอกจากนี้ หุ้นโรงไฟฟ้า เกือบทั้งอุตสาหกรรมต่างมี Backlog ที่มีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อยู่ในมือแน่นอนแล้ว โดยจะสามารถสร้างกำไรได้ตามเป้า เมื่อมองดูแล้วทำให้นักลงทุนยังเชื่อมั่นว่ากลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้ายังจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะกลาง และระยะยาว
ขณะเดียวกันโรงไฟฟ้าขนาดกลาง (SPP) ยังมีปัจจัยบวกที่จะหนุนการเติบโตในระยะยาวอีกด้วย เนื่องจากรัฐบาลไทยยังเปิดทางให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ ยื่นคำร้องขอเปิดโรงไฟฟ้าต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแผนขยายธุรกิจขนาดกลางของบริษัทต่าง ๆ ก็ดูมีทิศทางเชิงบวกต่อผลประกอบการ เห็นได้จากการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้า เช่น ญี่ปุ่น ของหลาย ๆ บริษัท ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่สร้างความเชื่อมั่นในการสร้างผลกำไรให้ผู้ถือหุ้นเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า ยังมีธุรกิจที่รองรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคตอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันหลาย ๆ บริษัท เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนกับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนมากขึ้น สอดรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง แสดงให้เห็นว่ากลุ่มอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้ามีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ และจากเทรนด์การลงทุนที่ทำให้เห็นว่าบริษัทยังคงดำเนินกิจการได้อีกยาว ยิ่งสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนว่าจะสามารถลงทุนได้ในระยะยาวอีกด้วย
ทั้งนี้ อีกเหตุผลที่ทำให้หุ้นโรงไฟฟ้าเป็นที่น่าสนใจ คงหนีไม่พ้นช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นหุ้นโรงไฟฟ้ามีจำนวนเพิ่มขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯเรื่อย ๆ ส่งผลให้ Market Cap. ของหุ้นโรงไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ราคาหุ้นของกลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้ายังมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและรวดเร็วอีกด้วย
หุ้นโรงไฟฟ้า ถือเป็น Defensive Play ในภาวะที่ตลาดหุ้นในภาพรวมยังมีความเสี่ยง นักลงทุนบางส่วนโดยเฉพาะกลุ่มสถาบันจึงเข้ามาลงทุนในกลุ่มดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยง เป็นสาเหตุหนึ่งให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ แต่ก็สะท้อนด้วยว่าตลาดหุ้นในภาพรวมไม่ได้ดีนัก
หากตลาดหุ้นเริ่มดีขึ้น ความเสี่ยงในการลงทุนเริ่มลดลง ก็อาจเป็นไปได้ว่าราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวอาจจะถูกเทขายก็เป็นได้และค่า P/E ของหุ้นโรงไฟฟ้ายังอยู่ในระดับที่สูง หากการเติบโตในปี 2563 เริ่มลดลง นี่คือความเสี่ยงที่จะถูกเทขายเพราะราคาหุ้นขึ้นมาเยอะมากแล้ว
หุ้นโรงไฟฟ้า เกือบทั้งอุตสาหกรรมต่างมี Backlog ที่มีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้า และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อยู่ในมือแน่นอนแล้ว โดยจะสามารถสร้างกำไรได้ตามเป้า เมื่อมองดูแล้วทำให้นักลงทุนยังเชื่อมั่นว่ากลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้ายังจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะกลาง และระยะยาว