TESLA เชฟโรเลต

ได้เวลาหุ้น TESLA ผงาดค่ายรถอันดับหนึ่งของโลก?

โดย SM1984

เมื่อค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดมายาวนานอย่าง GM เริ่มอ่อนแรงลง ล่าสุดได้ทิ้งแบรนด์ เชฟโรเลต ในไทย ประกอบกับการพุ่งขึ้นมาของค่ายรถยนต์ดาวรุ่งที่มีผู้สนับสนุนจำนวนมากอย่าง TESLA ก้าวขึ้นมาเป็นค่ายรถยนต์ที่มีมาร์เกตแคปอันดับสองของโลกแต่ราคาหุ้นที่พุ่งอย่างรวดเร็วเกินไปขณะที่ผลประกอบการเพิ่งจะมีกำไร ทำให้ TESLA ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าคู่ควรกับการเป็นเบอร์หนึ่ง

จากกรณีที่ เจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือ GM ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯได้ตัดสินใจยุติการจำหน่ายรถยนต์ เชฟโรเลต รวมถึงปิดโรงงานในประเทศไทย นำไปสู่การปลดพนักงานประมาณ 1,500 คนในประเทศไทย รวมถึงพนักงานอีก 828 คนในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 

GM ยังประกาศชัดว่าได้ยอมแพ้กับการทำตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจะหันมามุ่งเน้นตลาดอเมริกา จีน อเมริกาใต้ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตลาดหลักของ GM มายาวนานมากขึ้น ก่อนหน้านี้สำนักข่าว AFP เคยรายงานในปี 2018 ว่า GM ได้ปลดพนักงาน 4,000 คน เพื่อปรับโครงสร้างภายในบริษัทฯ เพื่อลดต้นทุน 15% ในอเมริกาเหนือ

หากดูจากผลประกอบการของ GM ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯพบว่ามีแนวโน้มถดถอยมาอย่างต่อเนื่องแม้จะพลิกจากขาดทุนหนักในปี 2017 มาทำกำไรอีกครั้งในปี 2018 จากการปรับโครงสร้างธุรกิจ แต่กำไรสุทธิในปีล่าสุดคือ 2019 ลดลงจากปี 2018 จึงไม่น่าแปลกใจที่ GM จะยุติแบรนด์ เชฟโรเลต ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ใช้นอกทวีปอเมริกาเหนือ และหันมาโฟกัสกับตลาดที่ถนัด

ขณะที่ค่ายรถยนต์ซึ่งมาแรงในรอบหลายปีที่ผ่านมาอย่าง TESLA ของนาย Elon Musk แม้ว่าจะยังไม่เห็นตัวเลขสีเขียวหรือ “กำไรสุทธิ” บนงบการเงิน จนเกือบจะล้มละลายเมื่อหลายปีก่อน ล่าสุดปี 2019 ประกาศผลประกอบการออกมาก็ยังขาดทุนสุทธิ 862 ล้านเหรียญ 

แต่หากวิเคราะห์โดยละเอียดจะเห็นว่าตัวเลขขาดทุนของTESLA เริ่มจะ “ลดลง” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2019 เริ่มเห็นกำไรแล้วตั้งแต่ไตรมาสสามเป็นต้นมา ทำให้ราคาหุ้น TESLA วิ่งแตะ 400 เหรียญต่อหุ้นในช่วงก่อนสิ้นปี 2019 และตั้งแต่ต้นปี 2020 เป็นต้นมา ราคาหุ้นวิ่งกว่า 100% แตะระดับ 800 เหรียญในปัจจุบันในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น

ทำให้ TESLAกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายแรกของสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าตลาดถึง 1 แสนล้านเหรียญและมีมูลค่ามากกว่า GM และ FORD ค่ายรถยนต์เก่าแก่ของสหรัฐฯรวมกันเสียอีก และยังแซงหน้า Volksvagen ขึ้นเป็นค่ายรถยนต์ที่มีมาร์เกตแคปอันดับที่สองของโลกเป็นรองเพียงแค่ TOYOTA เท่านั้น

TESLAรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2019 มีรายได้ 7,384 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 386 ล้านดอลลาร์ บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเพิ่มขึ้น 930 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้มีเงินสดในมือ 6,268 ล้านดอลลาร์

ไตรมาสที่ผ่านมา TESLA ส่งมอบรถยนต์รวม 112,09 คัน เป็น Model 3 92,620 คัน ส่วนด้านการผลิตนั้น รถยนต์ SUV รุ่นใหม่ Model Y เริ่มการผลิตในเดือนมกราคม 2020 ที่โรงงานใน Fremont ซึ่งเร็วกว่าแผนงานเดิม ส่วนโรงงานเซี่ยงไฮ้จะเริ่มผลิตในปี 2021

TESLAประเมินว่าในปี 2020 นี้จะสามารถส่งมอบรถยนต์ได้เกิน 5 แสนคัน ส่วนธุรกิจโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ จะส่งมอบเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 50% จากปี 2019 ขณะที่ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในจีนและยุโรป รวมถึงการผลิตที่โรงงาน Gigafactory 3 เป็นไปได้ด้วยดี

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ TESLAพุ่งทะยานคือการที่รัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่และมีการปล่อยเงินกู้ให้ลงทุนโรงงานเพิ่มเติม ประกอบกับการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ที่มีความหวือหวาอย่าง Cyber Truck ทำให้TESLA อยู่ในความสนใจของมวลชนมาโดยตลอด

อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่พุ่งแรงเกินไปจนไม่สามารถคำนวนค่า P/E ได้เป็นคำถามสำคัญว่าราคาหุ้นเป็น “ฟองสบู่” หรือไม่ รวมถึงภารกิจสำคัญที่ต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการสร้างรายได้รวมและกำไรสุทธิแซงหน้าผู้นำเก่าให้ได้ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นเบอร์หนึ่งค่ายรถยนต์ของสหรัฐฯและของโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

อย่างไรก็ตาม แม้จะยุติการทำแบรนด์ เชฟโรเลต นอกทวีปอเมริกา แต่ GM ได้เตรียมเดินหน้าลงทุนในธุรกิจ “รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า” และ “รถยนต์ SUV ไร้คนขับ” เช่นเดียวกับ TESLA ภายใต้มูลค่าเงินลงทุนกว่า 3 พันล้านเหรียญฯ คาดว่าในเบื้องต้นจะเริ่มผลิตในเชิงพาณิชย์ ภายในปลายปี 2021การผลิตครั้งนี้ จะช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้ผู้คนได้กว่า 2,200 ตำแหน่ง

สำหรับเงินลงทุนกว่า 3 พันล้านเหรียญฯ นั้นจะแบ่งเป็นสองส่วน คือ

ในส่วนแรกจะนำไปใช้ลงทุนสร้าง “โรงงานรถยนต์พลังงานไฟฟ้า” ที่รัฐมิชิแกน มูลค่าราว 2.2 พันล้านเหรียญฯ ส่วนเงินลงทุนที่เหลืออีกประมาณ 8 ร้อยล้านเหรียญฯ จะนำไปลงทุนใน “โครงการอื่นๆ” ซึ่งคาดว่าจะเป็น “รถยนต์ SUV ไร้คนขับ” และอุปกรณ์ต่างๆ

ต้องติดตามว่าอดีตยักษ์ใหญ่อย่าง GM จะกลับมาทวงบัลลังก์คืนได้หรือไม่แม้จะเข้าสู่สนามรถยนต์ไฟฟ้าช้าไปพอสมควร

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง : หุ้น TESCO พุ่งกว่า 6% หลังข่าวเตรียมขายกิจการในไทยกับมาเลเซีย

Related Posts